ขอขอบคุณลูกค้าที่สั่งผลิตถุงพลาสติกบรรจุของช่วยน้ำท่วมหาดใหญ่

ขอขอบคุณบริษัท ศรีตรังโกลฟ์ ที่ไว้วางใจเลือกใช้บริการจากไทยฮงพลาสติก

สำหรับการผลิตถุงพลาสติกพิมพ์ลายแบบเร่งด่วน เพื่อใช้บรรจุสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในครั้งนี้ ความเชื่อมั่นที่ท่านมอบให้ ถือเป็นกำลังใจสำคัญที่ทำให้ทีมงานของเราเร่งดำเนินงานทุกขั้นตอนอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้สินค้าส่งถึงมือท่านได้ตามเวลาที่กำหนดโดยไม่ลดทอนคุณภาพ

ในสถานการณ์ที่ต้องการความรวดเร็ว ความแม่นยำ และความพร้อมของระบบการผลิต การได้รับโอกาสจากลูกค้ารายสำคัญเช่นศรีตรังโกลฟ์ ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของสินค้าแต่ละชิ้นว่าไม่ได้เป็นเพียง
“ถุงพลาสติก” แต่เป็นส่วนหนึ่งของการส่งต่อความช่วยเหลือไปยังผู้ที่กำลังเดือดร้อน เราขอชื่นชมการทำงานที่มุ่งมั่นของทางบริษัทและทุกทีมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีส่วนผลักดันให้การส่งมอบความช่วยเหลือเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ถุงขาวนมพิมพ์ลาย

ถุง HD สีขาวนมพิมพ์ลาย บรรจุใส่เสื้อชูชีพ

ไทยฮงพลาสติกพร้อมรองรับงานผลิตถุงพิมพ์ลายและงานสกรีนโลโก้ตามความต้องการของลูกค้า ทั้งในรูปแบบถุงขาวนม HDPE พิมพ์ 1 สี ซึ่งเหมาะกับงานบรรจุสินค้าทั่วไป งานกิจกรรม งานประชาสัมพันธ์ รวมถึงงานเฉพาะทางที่ต้องการความเรียบร้อยและความคมชัดของลวดลาย เรามีเครื่องจักรที่รองรับงานเร่งด่วน พร้อมทีมงานตรวจสอบคุณภาพทุกขั้นตอน เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าสินค้าที่ได้รับมีมาตรฐานสม่ำเสมอ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไทยฮงฯ พัฒนาระบบผลิตให้ตอบสนองกับรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นถุงสำหรับธุรกิจค้าปลีก โรงงานอุตสาหกรรม หน่วยงานภาครัฐ รวมไปถึงองค์กรที่ต้องการใช้ถุงสำหรับกิจกรรมสาธารณประโยชน์ เราให้ความสำคัญกับความทนทาน ความสะอาด และความเหมาะสมของวัสดุ เพื่อให้ลูกค้าใช้งานได้อย่างมั่นใจ

 

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณศรีตรังโกลฟ์อีกครั้งที่มอบความไว้วางใจให้ไทยฮงพลาสติกได้มีส่วนร่วมในงานที่มีความหมายเช่นนี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมงานและสนับสนุนความต้องการของท่านในโอกาสต่อไป และไทยฮงฯ พร้อมดูแลทุกคำสั่งผลิตของลูกค้าทุกท่านด้วยความตั้งใจเช่นเดิมเสมอ

ใช้ถุงพลาสติก HDPE และ LDPE อย่างปลอดภัย

ใช้ถุงพลาสติก HDPE และ LDPE อย่างปลอดภัย ควรรู้จุดหลอมเหลว จุดอ่อนตัว และจุดวาบไฟ

เมื่อเรานำถุงพลาสติกไปใช้ในงานที่เกี่ยวข้องกับความร้อน เช่น การใส่อาหารร้อน หรือใช้ร่วมกับภาชนะอุ่น ๆ สิ่งสำคัญที่ควรรู้คือ “พฤติกรรมของพลาสติกเมื่อถูกความร้อน” เพราะแต่ละชนิดจะมีอุณหภูมิที่เริ่มอ่อนตัวหรือเสี่ยงต่อการละลายแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะพลาสติกยอดนิยมอย่าง HDPE และ LDPE ที่ถูกนำมาทำถุงหูหิ้วและถุงใส่อาหารจำนวนมาก
กราฟ Melting Point (จุดหลอมเหลว) Softening Point (จุดอ่อนตัว)

ความหมายของอุณหภูมิต่าง ๆ

  • Melting Point (จุดหลอมเหลว) คืออุณหภูมิที่พลาสติกเริ่มเปลี่ยนจากของแข็งเป็นของเหลวอย่างสมบูรณ์ หากโดนถึงระดับนี้เนื้อพลาสติกจะละลายทันที

  • Softening Point (จุดอ่อนตัว) คืออุณหภูมิที่พลาสติกเริ่มนิ่มตัว บิดงอหรือเสียรูปง่าย แม้ยังไม่ถึงขั้นละลาย แต่โครงสร้างเริ่มเปลี่ยน ทำให้ไม่เหมาะกับการสัมผัสอาหารร้อน

  • Flash Point (จุดวาบไฟ) คืออุณหภูมิที่ไอระเหยของพลาสติกสามารถติดไฟได้เมื่อมีประกายไฟ เป็นจุดที่ไม่ควรให้วัสดุเข้าใกล้เป็นอย่างยิ่ง

อุณหภูมิของพลาสติก HDPE และ LDPE

โดยทั่วไป พลาสติกทั้งสองชนิดมีค่าดังนี้
HDPE

  • Softening Point: ประมาณ 110–120°C

  • Melting Point: ประมาณ 125–135°C

  • Flash Point: ประมาณ 340–360°C

LDPE

  • Softening Point: ประมาณ 90–100°C

  • Melting Point: ประมาณ 105–115°C

  • Flash Point: ประมาณ 330–350°C

คำแนะนำเพื่อการใช้งานอย่างปลอดภัย

แม้ค่าจุดหลอมเหลวจะดูสูง แต่การใช้งานจริงไม่ควรให้ถุงสัมผัสความร้อนเกิน Softening Point เพราะเมื่อพลาสติกเริ่มอ่อนตัว โครงสร้างอาจเสื่อมสภาพ เกิดการบิดเบี้ยว หรือมีโอกาสที่สารบางชนิดที่ตกค้างในพลาสติกจะปนเปื้อนลงสู่อาหารได้ง่ายขึ้น ดังนั้น หากต้องใส่อาหารร้อน ควรรอให้อุณหภูมิลดลงหรือใช้ภาชนะที่ทนความร้อนโดยเฉพาะแทนถุงพลาสติกทั่วไป

การรู้ค่าทางความร้อนของพลาสติกที่ใช้อยู่ จะช่วยให้ผู้ใช้งานตัดสินใจได้ดีขึ้น ปลอดภัยขึ้น และลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนในอาหาร ช่วยให้การใช้ถุง HDPE และ LDPE ในชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างปลอดภัยที่สุด

                            ถุงใส่อาหารร้อน                                       ถุงใส่อาหารร้อน

การเจาะรูระบายอากาศบนถุงพลาสติก

ถุงพลาสติกเนื้อ HDPE สีเหลือง เจาะรูระบายอากาศ สำหรับรองในลังบรรจุผลไม้
ถุงพลาสติกถือเป็นวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ทั้งในอุตสาหกรรมอาหาร เสื้อผ้า และสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป หนึ่งในเทคนิคที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานของถุงพลาสติกคือ “การเจาะรูระบายอากาศ” ซึ่งเป็นขั้นตอนเล็ก ๆ แต่มีความสำคัญอย่างมากต่อคุณภาพของสินค้าและความปลอดภัยของผู้ใช้

ประโยชน์ของการเจาะรูบนถุงพลาสติก นั้นมีหลายประการ อันดับแรกคือช่วย “ระบายอากาศและความชื้น” ภายในถุง ทำให้สินค้าภายในไม่อับหรือเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหารสด ผัก หรือผลไม้ นอกจากนี้ยังช่วย “ป้องกันการควบแน่นของไอน้ำ” ที่อาจทำให้เกิดเชื้อรา หรือความเสียหายต่อสินค้าได้ อีกทั้งการเจาะรูยังช่วย “ลดความเสี่ยงจากการขาดอากาศหายใจ” ในกรณีที่เด็กเล็กนำถุงมาครอบศีรษะ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายโรงงานให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง

ที่ โรงงานไทยฮง เรามีบริการ “เจาะรูตามสั่ง” สำหรับลูกค้าที่ต้องการถุงพลาสติกที่เหมาะสมกับการใช้งานเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็น รูแบบกลมขนาด 5 มิลลิเมตร 8 มิลลิเมตร ไปจนถึง 2.5 เซนติเมตร, รูแบบเครื่องหมายบวก (+) หรือแม้แต่ ช่องลมบริเวณก้นถุง ซึ่งช่วยให้ถุงไม่พองลมขณะบรรจุสินค้า โรงงานไทยฮงใช้เครื่องจักรคุณภาพสูงในการเจาะรูทุกประเภท เพื่อให้ได้รูที่เรียบคม สม่ำเสมอ และไม่ทำให้โครงสร้างของถุงเสียหาย

การเจาะรูระบายอากาศจึงไม่ใช่เพียงแค่การเพิ่มรูเล็ก ๆ บนถุงพลาสติก แต่เป็นการออกแบบที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของสินค้า เพิ่มความปลอดภัย และตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรมได้อย่างครบถ้วน โรงงานไทยฮงพร้อมให้คำแนะนำและผลิตงานตามแบบที่ลูกค้าต้องการด้วยคุณภาพที่มั่นใจได้ในทุกขั้นตอน

พลาสติก PE (Polyethylene) ใช้เวลาย่อยสลายกี่ปี

ระยะการย่อยสลายของพลาสติก แต่ละชนิด

พลาสติก PE (Polyethylene) ใช้เวลาย่อยสลายกี่ปี? กระบวนการย่อยสลายและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

พลาสติก PE เป็นพลาสติกที่ผลิตมากที่สุดในโลก (พบในถุงหูหิ้ว ฟิล์มห่อ แพ็กเกจจิ้งต่าง ๆ) จุดเด่นคือโครงสร้างโพลีเมอร์สายยาวที่ทนต่อการสลายด้วยจุลินทรีย์ ทำให้เมื่อถูกทิ้งในสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะที่แสงแดดส่องไม่ถึง เช่น หลุมฝังกลบ การย่อยสลายเป็นไปอย่างเชื่องช้าหลายร้อยปี งานทบทวนและการศึกษาหลายชิ้นระบุว่า “เวลา” ที่พลาสติกถุงซึ่งส่วนใหญ่ทำจาก PE จะสลายตัวได้นั้นกว้างมากตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักหลายร้อยปี ขึ้นกับสภาพแวดล้อม โดยในทะเลและแหล่งธรรมชาติทั่วไปมักประเมินเป็น “หลายร้อยปี” ส่วนในหลุมฝังกลบที่ขาดแสง UV อาจยืดออกไปอีกมาก, ขณะที่แหล่งข้อมูลสาธารณะหลายแห่งสรุปตัวเลขเชิงประมาณ เช่น หลายร้อยปีสำหรับชิ้นพลาสติกทั่วไป และช่วงกว้าง 10–1,000 ปีสำหรับถุงบาง ทั้งนี้เป็นค่าประมาณ ไม่ใช่ “เวลาตายตัว” เพราะขึ้นกับแสง UV อุณหภูมิ ออกซิเจน และความชื้นเป็นสำคัญ.

เมื่อถูกทิ้ง กลไกหลักที่ทำให้ PE เสื่อมสภาพคือ “โฟโต–ออกซิเดชัน” (photo-oxidation): หมู่โครโมฟอร์หรือสิ่งปนเปื้อนในเนื้อพลาสติกดูดซับรังสี UV แล้วกระตุ้นปฏิกิริยาออกซิเดชัน เกิดหมู่คาร์บอนิลบนสายโซ่ เกิดการตัดสาย (chain scission) ทำให้พลาสติกเปราะ แตกหัก และแตกตัวเป็นชิ้นเล็กลงเรื่อย ๆ กระบวนการคล้ายกันเกิดได้จากความร้อนและออกซิเจน (thermal-oxidation) ผลลัพธ์คือจากแผ่นหรือชิ้นใหญ่ ๆ ค่อย ๆ กลายเป็นไมโครพลาสติก (≤5 มม.) และนาโนพลาสติก ซึ่งไม่ได้ “หายไป” แต่แค่แตกละเอียดลง.

สำหรับ “การย่อยสลายทางชีวภาพ” ของ PE งานวิชาการสรุปว่าหลักฐานยังจำกัดมาก เมื่อเทียบกับโพลีเมอร์ที่ย่อยสลายได้โดยจุลินทรีย์ประเภทอื่น ๆ แม้มีรายงานความก้าวหน้าด้านจุลินทรีย์/เอนไซม์ และแมลงบางชนิดช่วยย่อยส่วนหนึ่ง แต่ยังอยู่ในระดับวิจัย และยังไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระดับมหภาคในสภาพแวดล้อมจริง.

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่สำคัญคือ “ไมโครพลาสติก” ไหลเวียนในระบบนิเวศทะเล ตั้งแต่ผิวน้ำถึงตะกอนพื้นทะเล สัตว์น้ำกินเข้าไปสะสมในห่วงโซ่อาหาร สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชุมชนชายฝั่ง และปัจจุบันพบไมโครพลาสติกในตัวอย่างร่างกายมนุษย์หลายชนิด (รวมถึงรก) แม้ผลต่อสุขภาพมนุษย์ยังอยู่ระหว่างศึกษา แต่มีความกังวลเรื่องการอักเสบ ความเป็นพิษระดับเซลล์ และสารเคมีที่อาจหลุดออกจากพลาสติก.

สรุป: พลาสติก PE ไม่ได้ “ย่อยสลายหายไป” อย่างรวดเร็ว แต่ค่อย ๆ เสื่อมสภาพจากแสงและออกซิเจน จนแตกตัวเป็นชิ้นเล็กมากและคงอยู่ได้นานตั้งแต่หลายสิบถึงหลายร้อยปีหรือมากกว่านั้นในสภาพไร้แสง กระบวนการนี้ก่อไมโครพลาสติกที่แพร่กระจายไปในระบบนิเวศและอาจกระทบต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อม การลดใช้ ออกแบบเพื่อรีไซเคิล และการจัดการขยะที่ถูกต้อง จึงยังเป็นแนวทางหลักในการลดผลกระทบจาก PE ในปัจจุบัน.

พลาสติก PE (Polyethlene) ทำมาจากอะไร

กระบวนการผลิตพลาสติกผลิตจากการกลั่นน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ

                 พลาสติกโพลีเอทิลีน (Polyethylene หรือ PE) ถือเป็นหนึ่งในวัสดุพลาสติกที่ถูกนำมาใช้มากที่สุดในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ถุงหูหิ้ว บรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงท่อน้ำและอุปกรณ์อุตสาหกรรม กระบวนการผลิตเริ่มต้นจากวัตถุดิบสำคัญ คือ ก๊าซเอทิลีน (Ethylene) ซึ่งได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ

เอทิลีนเป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่มีพันธะคู่ เมื่อนำเข้าสู่เครื่องปฏิกรณ์ที่ออกแบบมาเฉพาะ จะถูกควบคุมด้วย แรงดันสูงและอุณหภูมิที่เหมาะสม กระบวนการนี้เรียกว่า โพลีเมอไรเซชัน (Polymerization) ซึ่งทำให้โมเลกุลเอทิลีนเชื่อมต่อกันเป็นสายยาว กลายเป็นโพลีเมอร์ที่มีคุณสมบัติแข็งแรงและยืดหยุ่น

การใช้แรงดันสูงเพื่อให้ได้พลาสติกที่อ่อนนุ่ม เหมาะสำหรับถุงพลาสติกหรือฟิล์มบรรจุภัณฑ์

                เงื่อนไขของอุณหภูมิและแรงดันในเครื่องปฏิกรณ์มีความสำคัญมาก หากควบคุมไม่ถูกต้อง จะไม่ได้คุณสมบัติที่ต้องการของพลาสติก ตัวอย่างเช่น การผลิต LDPE (Low Density Polyethylene) ต้องใช้แรงดันสูงเพื่อให้ได้พลาสติกที่อ่อนนุ่ม เหมาะสำหรับถุงพลาสติกหรือฟิล์มบรรจุภัณฑ์ ในขณะที่ HDPE (High Density Polyethylene) ผลิตที่แรงดันและอุณหภูมิที่ต่ำกว่า ทำให้ได้พลาสติกที่แข็งแรง เหมาะกับท่อน้ำหรือภาชนะที่ต้องการความทนทาน

             เมื่อกระบวนการโพลีเมอไรเซชันเสร็จสิ้น พลาสติกที่ได้จะถูกนำไปผ่านการทำให้เย็นและแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติก ซึ่งเม็ดเหล่านี้จะเป็นวัตถุดิบสำหรับผู้ผลิตถุง ฟิล์ม แผ่น หรือชิ้นงานพลาสติกชนิดต่าง ๆ ต่อไป

             จากขั้นตอนทั้งหมดจะเห็นว่า พลาสติก PE ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากการควบคุมทางวิศวกรรมและเคมีอย่างละเอียด ตั้งแต่วัตถุดิบก๊าซเอทิลีนจนกลายเป็นเม็ดพลาสติกที่พร้อมใช้งาน จึงไม่น่าแปลกใจที่โพลีเอทิลีนจะกลายเป็นพลาสติกพื้นฐานที่ครองตลาดมากที่สุดในโลก และยังคงถูกพัฒนาให้เหมาะกับการใช้งานที่หลากหลายต่อไป

ตัวอย่างการใช้งานถุงรองถัง 200 ลิตร

ถุงพลาสติกรองในถังขนาด 200 ลิตรถุงพลาสติกรองในถังที่สารเคมีสีเหลือง

ถุงพลาสติกรองถัง HDPE ทางเลือกใหม่ในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

ในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมี สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ ความสะอาด ความปลอดภัย และความคุ้มค่า การใช้ ถุงพลาสติกรองถัง จึงกลายเป็นทางเลือกที่ช่วยให้องค์กรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในขั้นตอนการจัดการสารเคมีที่ต้องอาศัยความรอบคอบและลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อน

ขั้นตอนการใช้งานถุงพลาสติกรองถัง

                เริ่มต้นจากการนำถุงพลาสติกใส่เข้าไปในถังที่ต้องใช้ เมื่อถุงถูกจัดวางอย่างเหมาะสม ผู้ใช้งานสามารถใส่สารเคมีลงไปในถุงได้ทันที จากนั้นจึงเริ่มทำการ Process สารเคมี ตามกระบวนการผลิตหรือการผสมที่กำหนดไว้ เมื่อสารเคมีผ่านขั้นตอนจนเสร็จสมบูรณ์ สามารถถ่ายเทออกจากถุงไปยังบรรจุภัณฑ์อื่นเพื่อจัดเก็บหรือจำหน่ายต่อไป สุดท้ายเมื่อถุงพลาสติกหมดหน้าที่ ก็เพียงแค่ถอดออกและส่งไปทำลายอย่างถูกวิธี ก็พร้อมสำหรับการใช้งานครั้งถัดไปทันที

การใช้ถุงพลาสติกรองถังช่วยให้ลูกค้า ประหยัดต้นทุน ได้หลายด้าน ได้แก่

  • ลดโอกาสการปนเปื้อน เพราะถุงที่ใช้เป็นถุงใหม่ทุกครั้ง ทำให้มั่นใจได้ว่าความสะอาดและคุณภาพของสารเคมีคงที่
  • ประหยัดเวลา เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาล้างถังหลังการใช้งาน ทำให้งานต่อไปเริ่มได้รวดเร็วขึ้น
  • ลดค่าใช้จ่ายในการใช้สารเคมีล้างถัง เช่น Solvent หรือสารทำความสะอาด ซึ่งปกติเป็นต้นทุนที่สูงและต้องใช้อย่างต่อเนื่อง
  • ทั้งหมดนี้ช่วยให้องค์กรไม่เพียงแต่ได้ประโยชน์ด้านการลดค่าใช้จ่าย แต่ยังได้ความสะดวก ความปลอดภัย และการจัดการที่ง่ายขึ้น

สำหรับธุรกิจที่กำลังมองหาวิธีจัดการสารเคมีอย่างคุ้มค่าและปลอดภัย ถุงพลาสติกรองถัง HDPE 40×60″ ของไทยฮง คือทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม แข็งแรง ใช้งานง่าย และตอบโจทย์ทั้งเรื่องคุณภาพและต้นทุนในเวลาเดียวกัน

 

ค่า WVTR คืออะไร?

ค่า WVTR คือค่าอัตราการซึมผ่านของไอน้ำผ่านวัสดุบรรจุภัณฑ์WVTR หรือ Water Vapor Transmission Rate คือค่าอัตราการซึมผ่านของไอน้ำผ่านวัสดุบรรจุภัณฑ์ ซึ่งใช้บอกความสามารถในการป้องกันความชื้นของวัสดุนั้น ๆ ค่า WVTR ยิ่งต่ำ แสดงว่าวัสดุสามารถกั้นไอน้ำได้ดี เหมาะสำหรับการบรรจุสินค้าที่ไวต่อความชื้น เช่น อาหารแห้ง ขนมกรอบ หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ แต่หากเป็นงานทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการการกักเก็บความชื้นสูง ก็สามารถเลือกใช้วัสดุที่มีค่า WVTR สูงกว่าได้ เพื่อความคุ้มค่าในการผลิต

ค่า WVTR ของ HDPE และ LDPE

  • HDPE (High Density Polyethylene) มีโครงสร้างที่หนาแน่นกว่า ทำให้มีค่า WVTR ต่ำกว่า LDPE โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 0.5 – 2.0 g/m²/day (ขึ้นอยู่กับความหนาของฟิล์ม) จึงกันความชื้นได้ดีกว่า

  • LDPE (Low Density Polyethylene) มีโครงสร้างที่ไม่หนาแน่นเท่า HDPE จึงมีค่า WVTR สูงกว่า โดยทั่วไปประมาณ 1.0 – 4.0 g/m²/day (ขึ้นอยู่กับความหนาเช่นกัน)

กล่าวได้ว่า HDPE เหมาะสำหรับงานที่ต้องการป้องกันความชื้นได้ดีกว่า ส่วน LDPE จะยืดหยุ่นและเหนียวกว่า แต่กันความชื้นได้น้อยกว่า HDPE

การใช้งานถุง HDPE และ LDPE

สำหรับงานผลิตถุงพลาสติกทั่วไป เช่น ถุงหูหิ้ว ถุงใส่สินค้าในร้านค้า หรือถุงบรรจุภัณฑ์สินค้าที่ไม่อ่อนไหวต่อความชื้น ทั้ง HDPE และ LDPE สามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นงานขายปลีก งานห่อหุ้มสินค้า หรือการขนส่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถนอมอาหารระยะยาวหรือการบรรจุแบบสุญญากาศ

อย่างไรก็ตาม หากเป็นงานที่สินค้าไม่สามารถสัมผัสกับความชื้นได้เลย เช่น ผงกรอบ ขนมอบกรอบ หรือยา ควรเลือกใช้วัสดุชนิดอื่น ๆ ที่มีค่า WVTR ต่ำกว่านี้ เช่น ฟิล์มหลายชั้น (Multi-layer Film) หรือฟอยล์อะลูมิเนียม เพื่อการปกป้องที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

การใช้งานในเชิงธุรกิจและความคุ้มค่า

ในมุมมองด้านต้นทุน ถุง HDPE และ LDPE ถือว่ามีความคุ้มค่าในการผลิตสูง เนื่องจากวัตถุดิบหาได้ง่าย กระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน และสามารถปรับความหนาบางได้ตามความต้องการของลูกค้า ผู้ประกอบการจึงนิยมเลือกใช้สำหรับสินค้าทั่วไป เช่น เสื้อผ้า เครื่องใช้ในบ้าน หรือสินค้าอุปโภคที่ไม่กังวลเรื่องความชื้น จุดเด่นของถุงพลาสติกทั้งสองชนิดคือความทนทาน ใช้งานสะดวก และต้นทุนต่อชิ้นต่ำ เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและการค้าปลีก ซึ่งแตกต่างจากวัสดุเฉพาะทางที่ออกแบบมาเพื่อกันความชื้นโดยตรงซึ่งมักมีราคาสูงกว่า

ค่า OTR (Oxygen Transmission Rate) คืออะไร

ข้อมูลเพื่ออธิบายค่า OTR (Oxygen Transmission Rate) ของถุงพลาสติก LDPE

ค่า OTR หรือ Oxygen Transmission Rate คือค่าที่ใช้บอกอัตราการซึมผ่านของก๊าซออกซิเจนผ่านวัสดุหนึ่ง ๆ ในช่วงเวลาที่กำหนด โดยทั่วไปนิยมใช้ในวงการบรรจุภัณฑ์อาหาร เนื่องจากออกซิเจนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้สินค้าเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น เช่น การเกิดเหม็นหืนในอาหารที่มีไขมัน หรือการเปลี่ยนสีของผลิตภัณฑ์บางชนิด การรู้ค่า OTR ของวัสดุที่ใช้จึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้ผลิตเลือกบรรจุภัณฑ์ได้เหมาะสมกับลักษณะของสินค้าและอายุการเก็บรักษาที่ต้องการ

จริง ๆ แล้ว แม้แต่พลาสติกที่หลายคนมองว่าป้องกันอากาศได้ดีอย่าง LDPE (Low Density Polyethylene) ก็ยังมีการซึมผ่านของออกซิเจนอยู่ เพียงแต่ในระดับที่แตกต่างจากพลาสติกชนิดอื่น ๆ งานวิจัยและข้อมูลอ้างอิงหลายแหล่งระบุว่าค่า OTR ของ LDPE อยู่ในช่วงประมาณ 2,000–8,000 ซีซี/ตารางเมตร/วัน/บรรยากาศ ที่อุณหภูมิห้อง ซึ่งถือว่ามีการซึมผ่านได้ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับพลาสติกชนิดที่มีคุณสมบัติด้านกั้นก๊าซสูง เช่น PET หรือ EVOH

ด้วยเหตุนี้ LDPE จึงไม่เหมาะสำหรับใช้ในบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการการกักเก็บก๊าซอย่างเข้มงวด เช่น อาหารที่ต้องการบรรจุสูญญากาศหรือ Modified Atmosphere Packaging (MAP) อย่างไรก็ตาม LDPE กลับมีข้อดีในด้านความยืดหยุ่น โปร่งใส และต้นทุนต่ำ ทำให้เหมาะกับการนำไปใช้บรรจุสินค้าทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการควบคุมการซึมผ่านของอากาศอย่างเข้มงวด เช่น ขนมขบเคี้ยว ผักผลไม้สด หรือสินค้าที่มีรอบการจำหน่ายสั้น

สรุปได้ว่า ค่า OTR เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ผู้ประกอบการควรรู้เพื่อเลือกวัสดุบรรจุภัณฑ์ได้เหมาะสม สำหรับ LDPE แม้จะมีคุณสมบัติซึมผ่านอากาศได้ แต่ก็ยังคงเป็นถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้ดี หากใช้กับสินค้าที่ไม่จำเป็นต้องเก็บรักษาในสภาวะปลอดอากาศ

พลาสติก HDPE และ LDPE มีความหนาแน่นเท่าไร

ค่าความหนาแน่นของพลาสติกชนิด HDPE และ LDPE เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำแล้วมีความเบากว่าน้ำ
พลาสติกเป็นวัสดุที่เราพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ถุงใส่ของ ขวดน้ำ ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์อาหาร โดยหนึ่งในพลาสติกที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือโพลีเอทิลีน (Polyethylene) ซึ่งแบ่งออกเป็นสองชนิดหลัก คือ
HDPE (High Density Polyethylene) และ LDPE (Low Density Polyethylene) ความแตกต่างสำคัญของทั้งสองชนิดนี้อยู่ที่โครงสร้างโมเลกุล ทำให้คุณสมบัติและความหนาแน่นแตกต่างกัน

  • HDPE มีความหนาแน่นประมาณ 0.94 – 0.97 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร

  • LDPE มีความหนาแน่นประมาณ 0.91 – 0.93 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร

เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำซึ่งมีความหนาแน่น 1.0 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร จะเห็นได้ว่าทั้ง HDPE และ LDPE มีความหนาแน่นน้อยกว่า ทำให้เมื่อพลาสติกเหล่านี้ถูกทิ้งลงน้ำ จึงสามารถลอยอยู่บนผิวน้ำได้โดยไม่จมลงไป

อย่างไรก็ตาม การทิ้งพลาสติกลงแหล่งน้ำเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากพลาสติกที่ลอยอยู่บนผิวน้ำจะรบกวนระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตในทะเล สัตว์น้ำอย่างเต่า ปลาหรือแม้แต่นกทะเล อาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาหารและกลืนกินเข้าไป ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารอุดตัน เกิดภาวะขาดสารอาหาร และอาจนำไปสู่การเสียชีวิต นอกจากนี้พลาสติกยังใช้เวลาย่อยสลายยาวนานหลายร้อยปี ทำให้ปัญหาสะสมต่อเนื่องและยากต่อการแก้ไข

ทำไมไม่ควรทิ้งพลาสติกลงน้ำ

หลายคนอาจคิดว่าการทิ้งขยะพลาสติกลงแม่น้ำหรือทะเลเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นร้ายแรงมาก เนื่องจากพลาสติกส่วนใหญ่ เช่น HDPE และ LDPE มีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ ทำให้พลาสติก ลอยอยู่บนผิวน้ำ ไม่จมลงไป การที่พลาสติกลอยอยู่เป็นเวลานาน ไม่เพียงทำให้แหล่งน้ำสกปรกและไม่น่ามอง แต่ยังส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศในระยะยาวอีกด้วย

พลาสติกที่ลอยน้ำส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลอย่างไร

เมื่อพลาสติกลอยอยู่บนผิวน้ำ สัตว์ทะเลหลายชนิดอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาหาร เช่น เต่าทะเลที่มักกลืนถุงพลาสติกเพราะเข้าใจว่าเป็นแมงกะพรุน หรือปลาที่กินเศษพลาสติกชิ้นเล็ก ๆ เข้าไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อพลาสติกสะสมในร่างกายมากขึ้น สัตว์จะเกิดภาวะอุดตันในทางเดินอาหาร ขาดสารอาหาร หรือเสียชีวิตในที่สุด

นอกจากนี้ เมื่อพลาสติกเสื่อมสภาพก็จะแตกตัวเป็น ไมโครพลาสติก ขนาดเล็กที่ล่องลอยในน้ำ สัตว์น้ำทุกระดับสามารถกลืนเข้าไปได้ ตั้งแต่แพลงก์ตอน ปลาเล็ก ไปจนถึงปลาที่มนุษย์บริโภค สิ่งนี้หมายความว่าพลาสติกที่เราทิ้งลงทะเล อาจย้อนกลับมาสู่ร่างกายของเราเองในรูปแบบอาหารทะเลที่มีการปนเปื้อนไมโครพลาสติก ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว

นอกจากผลกระทบต่อสัตว์น้ำแล้ว พลาสติก HDPE และ LDPE ที่ลอยอยู่ยังสะสมตามชายหาดและผิวน้ำ สร้างปัญหาขยะที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและวิถีชีวิตของชุมชนชายฝั่ง เมื่อพลาสติกเหล่านี้แตกตัวกลายเป็น ไมโครพลาสติก ขนาดเล็กที่ตามองไม่เห็น สิ่งมีชีวิตในทะเลสามารถเผลอกลืนกินเข้าไปได้ง่าย และไมโครพลาสติกเหล่านี้ยังสามารถย้อนกลับเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ผ่านการบริโภคอาหารทะเล ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว

การเปลี่ยนพฤติกรรมเพียงเล็กน้อย เช่น การพกถุงรีไซเคิลติดตัวเวลาไปตลาดหรือห้างสรรพสินค้า อาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่เมื่อคนจำนวนมากร่วมมือกัน ก็จะช่วยลดปริมาณพลาสติกที่ถูกทิ้งลงสิ่งแวดล้อมได้อย่างมหาศาล ถุงรีไซเคิลของ ไทยฮง ถูกออกแบบให้แข็งแรง ทนทาน ใช้ซ้ำได้หลายครั้ง และยังเป็นตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อโลก เหมาะสำหรับทุกครอบครัวที่อยากเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วันนี้

อยากรู้ความหนาของถุงพลาสติก ต้องทำยังไง?

การหาความหนาของถุงพลาสติกง่ายๆ ด้วยเครื่องมือพื้นฐาน

ปัญหาที่พบบ่อยในการซื้อ ขายถุงพลาสติก คือ ลูกค้ามักไม่ทราบว่าถุงที่ใช้จริงมีความหนาเท่าไร เนื่องจากความหนาของพลาสติกต้องใช้เครื่องวัดแบบเฉพาะ ซึ่งโดยทั่วไปไม่ค่อยมีอยู่ในมือผู้ใช้ทั่วไป ทำให้เกิดความไม่มั่นใจเวลาสั่งซื้อหรือต้องการเปรียบเทียบคุณภาพระหว่างผู้ผลิต

การนำถุงพลาสติกมาชั่งรวมกันน้ำหนัก 1 กก.การวัดขนาดถุงพลาติกด้วยตลับเมตรจริงๆ แล้ว เราสามารถหาค่าความหนาได้ไม่ยาก เพียงใช้เครื่องชั่งน้ำหนักกับตลับเมตรหรือไม้บรรทัดเท่านั้น วิธีการคือ ให้นำถุงพลาสติกมาชั่งน้ำหนักรวมกัน 1 กิโลกรัม จากนั้นนับจำนวนถุงทั้งหมดที่ได้ แล้ววัดขนาดถุงแต่ละใบ (กว้าง × ยาว) เพื่อหาพื้นที่ของถุง เมื่อได้ข้อมูลครบแล้วสามารถคำนวณย้อนกลับได้ดังนี้

สูตร :  1750 ÷ กว้าง ÷ ยาว ÷ จำนวนใบ

1750  = ความหนาแน่นของพลาสติก
กว้าง = ความกว้างของถุง มีหน่วยเป็น นิ้ว
ยาว = ความยาวของถุง มีหน่วยเป็น นิ้ว
หนา = ความหนาของถุง มีหน่วยเป็น mm
จำนวนใบ = การนำถุงพลาสติกมาชั่งน้ำหนักรวมกัน 1 กิโลกรัม

ตัวอย่าง วัดขนาดถุงได้ 31 x 52″
น้ำหนักถุง 1 กก. จำนวนที่นับได้ มี 18 ใบ

1750÷31÷52÷18 = 0.06

สรุป คือ ถุงใบนี้มีความหนา 0.06 mm / ใบ นั่นเอง