พลาสติก PE (Polyethylene) ใช้เวลาย่อยสลายกี่ปี

ระยะการย่อยสลายของพลาสติก แต่ละชนิด

พลาสติก PE (Polyethylene) ใช้เวลาย่อยสลายกี่ปี? กระบวนการย่อยสลายและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

พลาสติก PE เป็นพลาสติกที่ผลิตมากที่สุดในโลก (พบในถุงหูหิ้ว ฟิล์มห่อ แพ็กเกจจิ้งต่าง ๆ) จุดเด่นคือโครงสร้างโพลีเมอร์สายยาวที่ทนต่อการสลายด้วยจุลินทรีย์ ทำให้เมื่อถูกทิ้งในสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะที่แสงแดดส่องไม่ถึง เช่น หลุมฝังกลบ การย่อยสลายเป็นไปอย่างเชื่องช้าหลายร้อยปี งานทบทวนและการศึกษาหลายชิ้นระบุว่า “เวลา” ที่พลาสติกถุงซึ่งส่วนใหญ่ทำจาก PE จะสลายตัวได้นั้นกว้างมากตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักหลายร้อยปี ขึ้นกับสภาพแวดล้อม โดยในทะเลและแหล่งธรรมชาติทั่วไปมักประเมินเป็น “หลายร้อยปี” ส่วนในหลุมฝังกลบที่ขาดแสง UV อาจยืดออกไปอีกมาก, ขณะที่แหล่งข้อมูลสาธารณะหลายแห่งสรุปตัวเลขเชิงประมาณ เช่น หลายร้อยปีสำหรับชิ้นพลาสติกทั่วไป และช่วงกว้าง 10–1,000 ปีสำหรับถุงบาง ทั้งนี้เป็นค่าประมาณ ไม่ใช่ “เวลาตายตัว” เพราะขึ้นกับแสง UV อุณหภูมิ ออกซิเจน และความชื้นเป็นสำคัญ.

เมื่อถูกทิ้ง กลไกหลักที่ทำให้ PE เสื่อมสภาพคือ “โฟโต–ออกซิเดชัน” (photo-oxidation): หมู่โครโมฟอร์หรือสิ่งปนเปื้อนในเนื้อพลาสติกดูดซับรังสี UV แล้วกระตุ้นปฏิกิริยาออกซิเดชัน เกิดหมู่คาร์บอนิลบนสายโซ่ เกิดการตัดสาย (chain scission) ทำให้พลาสติกเปราะ แตกหัก และแตกตัวเป็นชิ้นเล็กลงเรื่อย ๆ กระบวนการคล้ายกันเกิดได้จากความร้อนและออกซิเจน (thermal-oxidation) ผลลัพธ์คือจากแผ่นหรือชิ้นใหญ่ ๆ ค่อย ๆ กลายเป็นไมโครพลาสติก (≤5 มม.) และนาโนพลาสติก ซึ่งไม่ได้ “หายไป” แต่แค่แตกละเอียดลง.

สำหรับ “การย่อยสลายทางชีวภาพ” ของ PE งานวิชาการสรุปว่าหลักฐานยังจำกัดมาก เมื่อเทียบกับโพลีเมอร์ที่ย่อยสลายได้โดยจุลินทรีย์ประเภทอื่น ๆ แม้มีรายงานความก้าวหน้าด้านจุลินทรีย์/เอนไซม์ และแมลงบางชนิดช่วยย่อยส่วนหนึ่ง แต่ยังอยู่ในระดับวิจัย และยังไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระดับมหภาคในสภาพแวดล้อมจริง.

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่สำคัญคือ “ไมโครพลาสติก” ไหลเวียนในระบบนิเวศทะเล ตั้งแต่ผิวน้ำถึงตะกอนพื้นทะเล สัตว์น้ำกินเข้าไปสะสมในห่วงโซ่อาหาร สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชุมชนชายฝั่ง และปัจจุบันพบไมโครพลาสติกในตัวอย่างร่างกายมนุษย์หลายชนิด (รวมถึงรก) แม้ผลต่อสุขภาพมนุษย์ยังอยู่ระหว่างศึกษา แต่มีความกังวลเรื่องการอักเสบ ความเป็นพิษระดับเซลล์ และสารเคมีที่อาจหลุดออกจากพลาสติก.

สรุป: พลาสติก PE ไม่ได้ “ย่อยสลายหายไป” อย่างรวดเร็ว แต่ค่อย ๆ เสื่อมสภาพจากแสงและออกซิเจน จนแตกตัวเป็นชิ้นเล็กมากและคงอยู่ได้นานตั้งแต่หลายสิบถึงหลายร้อยปีหรือมากกว่านั้นในสภาพไร้แสง กระบวนการนี้ก่อไมโครพลาสติกที่แพร่กระจายไปในระบบนิเวศและอาจกระทบต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อม การลดใช้ ออกแบบเพื่อรีไซเคิล และการจัดการขยะที่ถูกต้อง จึงยังเป็นแนวทางหลักในการลดผลกระทบจาก PE ในปัจจุบัน.

พลาสติก PE (Polyethlene) ทำมาจากอะไร

กระบวนการผลิตพลาสติกผลิตจากการกลั่นน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ

                 พลาสติกโพลีเอทิลีน (Polyethylene หรือ PE) ถือเป็นหนึ่งในวัสดุพลาสติกที่ถูกนำมาใช้มากที่สุดในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ถุงหูหิ้ว บรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงท่อน้ำและอุปกรณ์อุตสาหกรรม กระบวนการผลิตเริ่มต้นจากวัตถุดิบสำคัญ คือ ก๊าซเอทิลีน (Ethylene) ซึ่งได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ

เอทิลีนเป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่มีพันธะคู่ เมื่อนำเข้าสู่เครื่องปฏิกรณ์ที่ออกแบบมาเฉพาะ จะถูกควบคุมด้วย แรงดันสูงและอุณหภูมิที่เหมาะสม กระบวนการนี้เรียกว่า โพลีเมอไรเซชัน (Polymerization) ซึ่งทำให้โมเลกุลเอทิลีนเชื่อมต่อกันเป็นสายยาว กลายเป็นโพลีเมอร์ที่มีคุณสมบัติแข็งแรงและยืดหยุ่น

การใช้แรงดันสูงเพื่อให้ได้พลาสติกที่อ่อนนุ่ม เหมาะสำหรับถุงพลาสติกหรือฟิล์มบรรจุภัณฑ์

                เงื่อนไขของอุณหภูมิและแรงดันในเครื่องปฏิกรณ์มีความสำคัญมาก หากควบคุมไม่ถูกต้อง จะไม่ได้คุณสมบัติที่ต้องการของพลาสติก ตัวอย่างเช่น การผลิต LDPE (Low Density Polyethylene) ต้องใช้แรงดันสูงเพื่อให้ได้พลาสติกที่อ่อนนุ่ม เหมาะสำหรับถุงพลาสติกหรือฟิล์มบรรจุภัณฑ์ ในขณะที่ HDPE (High Density Polyethylene) ผลิตที่แรงดันและอุณหภูมิที่ต่ำกว่า ทำให้ได้พลาสติกที่แข็งแรง เหมาะกับท่อน้ำหรือภาชนะที่ต้องการความทนทาน

             เมื่อกระบวนการโพลีเมอไรเซชันเสร็จสิ้น พลาสติกที่ได้จะถูกนำไปผ่านการทำให้เย็นและแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติก ซึ่งเม็ดเหล่านี้จะเป็นวัตถุดิบสำหรับผู้ผลิตถุง ฟิล์ม แผ่น หรือชิ้นงานพลาสติกชนิดต่าง ๆ ต่อไป

             จากขั้นตอนทั้งหมดจะเห็นว่า พลาสติก PE ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากการควบคุมทางวิศวกรรมและเคมีอย่างละเอียด ตั้งแต่วัตถุดิบก๊าซเอทิลีนจนกลายเป็นเม็ดพลาสติกที่พร้อมใช้งาน จึงไม่น่าแปลกใจที่โพลีเอทิลีนจะกลายเป็นพลาสติกพื้นฐานที่ครองตลาดมากที่สุดในโลก และยังคงถูกพัฒนาให้เหมาะกับการใช้งานที่หลากหลายต่อไป

ตัวอย่างการใช้งานถุงรองถัง 200 ลิตร

ถุงพลาสติกรองในถังขนาด 200 ลิตรถุงพลาสติกรองในถังที่สารเคมีสีเหลือง

ถุงพลาสติกรองถัง HDPE ทางเลือกใหม่ในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

ในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมี สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ ความสะอาด ความปลอดภัย และความคุ้มค่า การใช้ ถุงพลาสติกรองถัง จึงกลายเป็นทางเลือกที่ช่วยให้องค์กรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในขั้นตอนการจัดการสารเคมีที่ต้องอาศัยความรอบคอบและลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อน

ขั้นตอนการใช้งานถุงพลาสติกรองถัง

                เริ่มต้นจากการนำถุงพลาสติกใส่เข้าไปในถังที่ต้องใช้ เมื่อถุงถูกจัดวางอย่างเหมาะสม ผู้ใช้งานสามารถใส่สารเคมีลงไปในถุงได้ทันที จากนั้นจึงเริ่มทำการ Process สารเคมี ตามกระบวนการผลิตหรือการผสมที่กำหนดไว้ เมื่อสารเคมีผ่านขั้นตอนจนเสร็จสมบูรณ์ สามารถถ่ายเทออกจากถุงไปยังบรรจุภัณฑ์อื่นเพื่อจัดเก็บหรือจำหน่ายต่อไป สุดท้ายเมื่อถุงพลาสติกหมดหน้าที่ ก็เพียงแค่ถอดออกและส่งไปทำลายอย่างถูกวิธี ก็พร้อมสำหรับการใช้งานครั้งถัดไปทันที

การใช้ถุงพลาสติกรองถังช่วยให้ลูกค้า ประหยัดต้นทุน ได้หลายด้าน ได้แก่

  • ลดโอกาสการปนเปื้อน เพราะถุงที่ใช้เป็นถุงใหม่ทุกครั้ง ทำให้มั่นใจได้ว่าความสะอาดและคุณภาพของสารเคมีคงที่
  • ประหยัดเวลา เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาล้างถังหลังการใช้งาน ทำให้งานต่อไปเริ่มได้รวดเร็วขึ้น
  • ลดค่าใช้จ่ายในการใช้สารเคมีล้างถัง เช่น Solvent หรือสารทำความสะอาด ซึ่งปกติเป็นต้นทุนที่สูงและต้องใช้อย่างต่อเนื่อง
  • ทั้งหมดนี้ช่วยให้องค์กรไม่เพียงแต่ได้ประโยชน์ด้านการลดค่าใช้จ่าย แต่ยังได้ความสะดวก ความปลอดภัย และการจัดการที่ง่ายขึ้น

สำหรับธุรกิจที่กำลังมองหาวิธีจัดการสารเคมีอย่างคุ้มค่าและปลอดภัย ถุงพลาสติกรองถัง HDPE 40×60″ ของไทยฮง คือทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม แข็งแรง ใช้งานง่าย และตอบโจทย์ทั้งเรื่องคุณภาพและต้นทุนในเวลาเดียวกัน

 

ค่า WVTR คืออะไร?

ค่า WVTR คือค่าอัตราการซึมผ่านของไอน้ำผ่านวัสดุบรรจุภัณฑ์WVTR หรือ Water Vapor Transmission Rate คือค่าอัตราการซึมผ่านของไอน้ำผ่านวัสดุบรรจุภัณฑ์ ซึ่งใช้บอกความสามารถในการป้องกันความชื้นของวัสดุนั้น ๆ ค่า WVTR ยิ่งต่ำ แสดงว่าวัสดุสามารถกั้นไอน้ำได้ดี เหมาะสำหรับการบรรจุสินค้าที่ไวต่อความชื้น เช่น อาหารแห้ง ขนมกรอบ หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ แต่หากเป็นงานทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการการกักเก็บความชื้นสูง ก็สามารถเลือกใช้วัสดุที่มีค่า WVTR สูงกว่าได้ เพื่อความคุ้มค่าในการผลิต

ค่า WVTR ของ HDPE และ LDPE

  • HDPE (High Density Polyethylene) มีโครงสร้างที่หนาแน่นกว่า ทำให้มีค่า WVTR ต่ำกว่า LDPE โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 0.5 – 2.0 g/m²/day (ขึ้นอยู่กับความหนาของฟิล์ม) จึงกันความชื้นได้ดีกว่า

  • LDPE (Low Density Polyethylene) มีโครงสร้างที่ไม่หนาแน่นเท่า HDPE จึงมีค่า WVTR สูงกว่า โดยทั่วไปประมาณ 1.0 – 4.0 g/m²/day (ขึ้นอยู่กับความหนาเช่นกัน)

กล่าวได้ว่า HDPE เหมาะสำหรับงานที่ต้องการป้องกันความชื้นได้ดีกว่า ส่วน LDPE จะยืดหยุ่นและเหนียวกว่า แต่กันความชื้นได้น้อยกว่า HDPE

การใช้งานถุง HDPE และ LDPE

สำหรับงานผลิตถุงพลาสติกทั่วไป เช่น ถุงหูหิ้ว ถุงใส่สินค้าในร้านค้า หรือถุงบรรจุภัณฑ์สินค้าที่ไม่อ่อนไหวต่อความชื้น ทั้ง HDPE และ LDPE สามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นงานขายปลีก งานห่อหุ้มสินค้า หรือการขนส่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถนอมอาหารระยะยาวหรือการบรรจุแบบสุญญากาศ

อย่างไรก็ตาม หากเป็นงานที่สินค้าไม่สามารถสัมผัสกับความชื้นได้เลย เช่น ผงกรอบ ขนมอบกรอบ หรือยา ควรเลือกใช้วัสดุชนิดอื่น ๆ ที่มีค่า WVTR ต่ำกว่านี้ เช่น ฟิล์มหลายชั้น (Multi-layer Film) หรือฟอยล์อะลูมิเนียม เพื่อการปกป้องที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

การใช้งานในเชิงธุรกิจและความคุ้มค่า

ในมุมมองด้านต้นทุน ถุง HDPE และ LDPE ถือว่ามีความคุ้มค่าในการผลิตสูง เนื่องจากวัตถุดิบหาได้ง่าย กระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน และสามารถปรับความหนาบางได้ตามความต้องการของลูกค้า ผู้ประกอบการจึงนิยมเลือกใช้สำหรับสินค้าทั่วไป เช่น เสื้อผ้า เครื่องใช้ในบ้าน หรือสินค้าอุปโภคที่ไม่กังวลเรื่องความชื้น จุดเด่นของถุงพลาสติกทั้งสองชนิดคือความทนทาน ใช้งานสะดวก และต้นทุนต่อชิ้นต่ำ เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและการค้าปลีก ซึ่งแตกต่างจากวัสดุเฉพาะทางที่ออกแบบมาเพื่อกันความชื้นโดยตรงซึ่งมักมีราคาสูงกว่า

ค่า OTR (Oxygen Transmission Rate) คืออะไร

ข้อมูลเพื่ออธิบายค่า OTR (Oxygen Transmission Rate) ของถุงพลาสติก LDPE

ค่า OTR หรือ Oxygen Transmission Rate คือค่าที่ใช้บอกอัตราการซึมผ่านของก๊าซออกซิเจนผ่านวัสดุหนึ่ง ๆ ในช่วงเวลาที่กำหนด โดยทั่วไปนิยมใช้ในวงการบรรจุภัณฑ์อาหาร เนื่องจากออกซิเจนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้สินค้าเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น เช่น การเกิดเหม็นหืนในอาหารที่มีไขมัน หรือการเปลี่ยนสีของผลิตภัณฑ์บางชนิด การรู้ค่า OTR ของวัสดุที่ใช้จึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้ผลิตเลือกบรรจุภัณฑ์ได้เหมาะสมกับลักษณะของสินค้าและอายุการเก็บรักษาที่ต้องการ

จริง ๆ แล้ว แม้แต่พลาสติกที่หลายคนมองว่าป้องกันอากาศได้ดีอย่าง LDPE (Low Density Polyethylene) ก็ยังมีการซึมผ่านของออกซิเจนอยู่ เพียงแต่ในระดับที่แตกต่างจากพลาสติกชนิดอื่น ๆ งานวิจัยและข้อมูลอ้างอิงหลายแหล่งระบุว่าค่า OTR ของ LDPE อยู่ในช่วงประมาณ 2,000–8,000 ซีซี/ตารางเมตร/วัน/บรรยากาศ ที่อุณหภูมิห้อง ซึ่งถือว่ามีการซึมผ่านได้ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับพลาสติกชนิดที่มีคุณสมบัติด้านกั้นก๊าซสูง เช่น PET หรือ EVOH

ด้วยเหตุนี้ LDPE จึงไม่เหมาะสำหรับใช้ในบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการการกักเก็บก๊าซอย่างเข้มงวด เช่น อาหารที่ต้องการบรรจุสูญญากาศหรือ Modified Atmosphere Packaging (MAP) อย่างไรก็ตาม LDPE กลับมีข้อดีในด้านความยืดหยุ่น โปร่งใส และต้นทุนต่ำ ทำให้เหมาะกับการนำไปใช้บรรจุสินค้าทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการควบคุมการซึมผ่านของอากาศอย่างเข้มงวด เช่น ขนมขบเคี้ยว ผักผลไม้สด หรือสินค้าที่มีรอบการจำหน่ายสั้น

สรุปได้ว่า ค่า OTR เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ผู้ประกอบการควรรู้เพื่อเลือกวัสดุบรรจุภัณฑ์ได้เหมาะสม สำหรับ LDPE แม้จะมีคุณสมบัติซึมผ่านอากาศได้ แต่ก็ยังคงเป็นถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้ดี หากใช้กับสินค้าที่ไม่จำเป็นต้องเก็บรักษาในสภาวะปลอดอากาศ

พลาสติก HDPE และ LDPE มีความหนาแน่นเท่าไร

ค่าความหนาแน่นของพลาสติกชนิด HDPE และ LDPE เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำแล้วมีความเบากว่าน้ำ
พลาสติกเป็นวัสดุที่เราพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ถุงใส่ของ ขวดน้ำ ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์อาหาร โดยหนึ่งในพลาสติกที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือโพลีเอทิลีน (Polyethylene) ซึ่งแบ่งออกเป็นสองชนิดหลัก คือ
HDPE (High Density Polyethylene) และ LDPE (Low Density Polyethylene) ความแตกต่างสำคัญของทั้งสองชนิดนี้อยู่ที่โครงสร้างโมเลกุล ทำให้คุณสมบัติและความหนาแน่นแตกต่างกัน

  • HDPE มีความหนาแน่นประมาณ 0.94 – 0.97 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร

  • LDPE มีความหนาแน่นประมาณ 0.91 – 0.93 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร

เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำซึ่งมีความหนาแน่น 1.0 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร จะเห็นได้ว่าทั้ง HDPE และ LDPE มีความหนาแน่นน้อยกว่า ทำให้เมื่อพลาสติกเหล่านี้ถูกทิ้งลงน้ำ จึงสามารถลอยอยู่บนผิวน้ำได้โดยไม่จมลงไป

อย่างไรก็ตาม การทิ้งพลาสติกลงแหล่งน้ำเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากพลาสติกที่ลอยอยู่บนผิวน้ำจะรบกวนระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตในทะเล สัตว์น้ำอย่างเต่า ปลาหรือแม้แต่นกทะเล อาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาหารและกลืนกินเข้าไป ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารอุดตัน เกิดภาวะขาดสารอาหาร และอาจนำไปสู่การเสียชีวิต นอกจากนี้พลาสติกยังใช้เวลาย่อยสลายยาวนานหลายร้อยปี ทำให้ปัญหาสะสมต่อเนื่องและยากต่อการแก้ไข

ทำไมไม่ควรทิ้งพลาสติกลงน้ำ

หลายคนอาจคิดว่าการทิ้งขยะพลาสติกลงแม่น้ำหรือทะเลเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นร้ายแรงมาก เนื่องจากพลาสติกส่วนใหญ่ เช่น HDPE และ LDPE มีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ ทำให้พลาสติก ลอยอยู่บนผิวน้ำ ไม่จมลงไป การที่พลาสติกลอยอยู่เป็นเวลานาน ไม่เพียงทำให้แหล่งน้ำสกปรกและไม่น่ามอง แต่ยังส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศในระยะยาวอีกด้วย

พลาสติกที่ลอยน้ำส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลอย่างไร

เมื่อพลาสติกลอยอยู่บนผิวน้ำ สัตว์ทะเลหลายชนิดอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาหาร เช่น เต่าทะเลที่มักกลืนถุงพลาสติกเพราะเข้าใจว่าเป็นแมงกะพรุน หรือปลาที่กินเศษพลาสติกชิ้นเล็ก ๆ เข้าไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อพลาสติกสะสมในร่างกายมากขึ้น สัตว์จะเกิดภาวะอุดตันในทางเดินอาหาร ขาดสารอาหาร หรือเสียชีวิตในที่สุด

นอกจากนี้ เมื่อพลาสติกเสื่อมสภาพก็จะแตกตัวเป็น ไมโครพลาสติก ขนาดเล็กที่ล่องลอยในน้ำ สัตว์น้ำทุกระดับสามารถกลืนเข้าไปได้ ตั้งแต่แพลงก์ตอน ปลาเล็ก ไปจนถึงปลาที่มนุษย์บริโภค สิ่งนี้หมายความว่าพลาสติกที่เราทิ้งลงทะเล อาจย้อนกลับมาสู่ร่างกายของเราเองในรูปแบบอาหารทะเลที่มีการปนเปื้อนไมโครพลาสติก ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว

นอกจากผลกระทบต่อสัตว์น้ำแล้ว พลาสติก HDPE และ LDPE ที่ลอยอยู่ยังสะสมตามชายหาดและผิวน้ำ สร้างปัญหาขยะที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและวิถีชีวิตของชุมชนชายฝั่ง เมื่อพลาสติกเหล่านี้แตกตัวกลายเป็น ไมโครพลาสติก ขนาดเล็กที่ตามองไม่เห็น สิ่งมีชีวิตในทะเลสามารถเผลอกลืนกินเข้าไปได้ง่าย และไมโครพลาสติกเหล่านี้ยังสามารถย้อนกลับเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ผ่านการบริโภคอาหารทะเล ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว

การเปลี่ยนพฤติกรรมเพียงเล็กน้อย เช่น การพกถุงรีไซเคิลติดตัวเวลาไปตลาดหรือห้างสรรพสินค้า อาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่เมื่อคนจำนวนมากร่วมมือกัน ก็จะช่วยลดปริมาณพลาสติกที่ถูกทิ้งลงสิ่งแวดล้อมได้อย่างมหาศาล ถุงรีไซเคิลของ ไทยฮง ถูกออกแบบให้แข็งแรง ทนทาน ใช้ซ้ำได้หลายครั้ง และยังเป็นตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อโลก เหมาะสำหรับทุกครอบครัวที่อยากเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วันนี้

อยากรู้ความหนาของถุงพลาสติก ต้องทำยังไง?

การหาความหนาของถุงพลาสติกง่ายๆ ด้วยเครื่องมือพื้นฐาน

ปัญหาที่พบบ่อยในการซื้อ ขายถุงพลาสติก คือ ลูกค้ามักไม่ทราบว่าถุงที่ใช้จริงมีความหนาเท่าไร เนื่องจากความหนาของพลาสติกต้องใช้เครื่องวัดแบบเฉพาะ ซึ่งโดยทั่วไปไม่ค่อยมีอยู่ในมือผู้ใช้ทั่วไป ทำให้เกิดความไม่มั่นใจเวลาสั่งซื้อหรือต้องการเปรียบเทียบคุณภาพระหว่างผู้ผลิต

การนำถุงพลาสติกมาชั่งรวมกันน้ำหนัก 1 กก.การวัดขนาดถุงพลาติกด้วยตลับเมตรจริงๆ แล้ว เราสามารถหาค่าความหนาได้ไม่ยาก เพียงใช้เครื่องชั่งน้ำหนักกับตลับเมตรหรือไม้บรรทัดเท่านั้น วิธีการคือ ให้นำถุงพลาสติกมาชั่งน้ำหนักรวมกัน 1 กิโลกรัม จากนั้นนับจำนวนถุงทั้งหมดที่ได้ แล้ววัดขนาดถุงแต่ละใบ (กว้าง × ยาว) เพื่อหาพื้นที่ของถุง เมื่อได้ข้อมูลครบแล้วสามารถคำนวณย้อนกลับได้ดังนี้

สูตร :  1750 ÷ กว้าง ÷ ยาว ÷ จำนวนใบ

1750  = ความหนาแน่นของพลาสติก
กว้าง = ความกว้างของถุง มีหน่วยเป็น นิ้ว
ยาว = ความยาวของถุง มีหน่วยเป็น นิ้ว
หนา = ความหนาของถุง มีหน่วยเป็น mm
จำนวนใบ = การนำถุงพลาสติกมาชั่งน้ำหนักรวมกัน 1 กิโลกรัม

ตัวอย่าง วัดขนาดถุงได้ 31 x 52″
น้ำหนักถุง 1 กก. จำนวนที่นับได้ มี 18 ใบ

1750÷31÷52÷18 = 0.06

สรุป คือ ถุงใบนี้มีความหนา 0.06 mm / ใบ นั่นเอง

ถุงมุ้งคืออะไร มีข้อดีและประโยชน์อย่างไร

ภาพถุงมุ้งคลุมของบนพาเลท
ถุงมุ้ง คือบรรจุภัณฑ์ลักษณะพิเศษที่ถูกออกแบบมาในรูปแบบทรงลูกบาศก์ 3 มิติ แตกต่างจากถุงพลาสติกทั่วไปตรงที่มีความแข็งแรงและคงรูปได้ดีกว่า เหมาะสำหรับการใส่สินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรม หรือสินค้าที่ต้องการป้องกันฝุ่นและสิ่งสกปรกจากภายนอก การสั่งผลิตถุงมุ้งนั้น ลูกค้าจำเป็นต้องแจ้ง ขนาดกว้าง × ยาว × สูง อย่างชัดเจน เพื่อให้ได้ถุงที่พอดีกับการใช้งานจริง

ลักษณะของถุงมุ้ง

ถุงมุ้งทำจากแผ่นพลาสติกประเภท Polyethlene และด้วยการซีลด้วยความร้อนประกอบให้เป็นทรงกล่อง ทำให้สามารถกางออกมาใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องพับหรือจัดรูปทรงซ้ำ ตัวถุงยังสามารถผลิตในขนาดใหญ่พิเศษได้ รองรับสินค้าที่มีปริมาณมากโดยไม่จำเป็นต้องแยกใส่หลายถุง

ข้อดีของถุงมุ้ง

  1. รองรับการใช้งานไซส์ใหญ่ – ลูกค้าสามารถสั่งผลิตขนาดพิเศษได้ ทำให้ประหยัดเวลาและต้นทุน เพราะไม่ต้องใช้ถุงหลายใบในการบรรจุ

  2. ใช้งานง่าย – เพียงกางถุงออกแล้วครอบสินค้าหรือบรรจุเข้าไปได้เลย ไม่ยุ่งยาก

  3. ทนทานและระบายอากาศได้ดี – ช่วยป้องกันฝุ่นและสิ่งสกปรก แต่ยังคงให้อากาศถ่ายเท เหมาะสำหรับผลไม้ ผัก หรือสินค้าที่ไม่ควรอับชื้น

  4. สะดวกในการขนย้ายและจัดเก็บ – เมื่อกางเป็นทรงสี่เหลี่ยม สามารถซ้อนวางได้อย่างเป็นระเบียบ และเมื่อไม่ใช้งานก็พับเก็บได้ง่าย

ประโยชน์ในการใช้งาน

ถุงมุ้งเหมาะกับหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เกษตรกรรมที่ใช้บรรจุผลผลิตจำนวนมากโดยไม่ทำให้สินค้าเสียหาย การขนส่งที่ต้องการป้องกันสิ่งปนเปื้อน รวมถึงการเก็บรักษาสินค้าในคลังที่ต้องการความสะอาดและระบายอากาศ นอกจากนี้ยังเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในเชิงธุรกิจ เนื่องจากช่วยลดจำนวนบรรจุภัณฑ์ที่ต้องใช้ และทำให้ขั้นตอนการทำงานคล่องตัวมากขึ้น

ถุงพลาสติกบรรจุอาหารของไทยฮง ผ่านการทดสอบเพาะเชื้อแบคทีเรีย 6 ชนิดจากห้องแล็บ SGS

ผลการทดสอบเพาะเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในคน 6 ชนิด บนถุงพลาสติกบรรจุอาหารของไทยฮง ทดสอบโดย SGS ประเทศไทย
ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความสะอาดและความปลอดภัยของอาหาร การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสะดวก แต่ยังหมายถึงความมั่นใจด้านสุขอนามัยด้วย ถุง FoodGrade ของไทยฮง ได้ผ่านการทดสอบการปนเปื้อนจุลินทรีย์ก่อโรคในห้องปฏิบัติการของ SGS (Thailand) ซึ่งเป็นหน่วยงานทดสอบมาตรฐานสากล โดยผลการทดสอบล่าสุดแสดงให้เห็นว่า ไม่พบการปนเปื้อนของเชื้อก่อโรคที่สำคัญต่อสุขภาพ 5 ชนิด รวมถึงการตรวจนับจุลินทรีย์รวม (Total Plate Count) ที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน

ความอันตรายของเชื้อที่ทดสอบ

  • E.coli: เชื้อในกลุ่มโคลิฟอร์มที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสีย อาเจียน และในบางสายพันธุ์อาจก่อโรครุนแรงถึงขั้นไตวายเฉียบพลัน

  • Staphylococcus aureus: พบได้บ่อยในผิวหนังและทางเดินหายใจ การปนเปื้อนอาหารอาจก่อให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษเฉียบพลัน เช่น อาเจียนและปวดท้อง

  • Bacillus cereus: เชื้อที่สร้างสปอร์ได้ มักพบในอาหารแห้งหรืออาหารที่เก็บไว้นาน ก่อให้เกิดอาการท้องเสียหรืออาเจียน

  • Salmonella spp.: เชื้อที่พบมากในเนื้อสัตว์และไข่ สามารถก่อให้เกิดไข้ไทฟอยด์หรืออาหารเป็นพิษได้

  • Clostridium perfringens: เชื้อที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมทั่วไปและในลำไส้คน หากอาหารปนเปื้อนและเก็บไม่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดอาการท้องเสียเฉียบพลัน

  • Total Plate Count: เป็นการตรวจนับจุลินทรีย์รวมทั้งหมด ซึ่งค่าที่ต่ำแสดงถึงความสะอาดและความปลอดภัยของบรรจุภัณฑ์

เหตุผลที่ควรเลือกใช้ถุง FoodGrade ไทยฮง

  • ผ่านมาตรฐาน SGS Lab FoodGradeรวม 435 14-02-2025HL_202502_REPORT_NO_6134352 ระดับสากล

  • ผลการทดสอบยืนยันว่า ไม่พบเชื้อก่อโรค ทั้ง 5 ชนิด

  • ใช้วัตถุดิบ Food Grade และกระบวนการผลิตที่ควบคุมความสะอาดเข้มงวด

มั่นใจได้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การผลิตจนถึงมือผู้บริโภค

นอกจากผลการทดสอบที่ยืนยันว่า ถุง FoodGrade ของไทยฮงปลอดจากเชื้อก่อโรค ทั้ง E.coli, Salmonella และเชื้อจุลินทรีย์อันตรายอื่น ๆ แล้ว กระบวนการผลิตของเรายังอยู่ภายใต้ระบบควบคุมคุณภาพที่เข้มงวดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบเกรดอาหาร ไปจนถึงการบรรจุและการจัดเก็บ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าถุงทุกใบที่ส่งถึงมือลูกค้านั้นสะอาด ปลอดภัย และเหมาะสมกับการบรรจุอาหารอย่างแท้จริง การเลือกใช้ถุงของไทยฮงจึงไม่ใช่แค่การเลือกบรรจุภัณฑ์ แต่คือการเลือก “มาตรฐานความปลอดภัย” ที่ช่วยปกป้องผู้บริโภคและสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกธุรกิจอาหาร

ถุงพลาสติกสูตรเหนียวพิเศษ จากโรงงานไทยฮง

เมื่อพูดถึงถุงพลาสติก หลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงวัสดุบรรจุธรรมดา แต่สำหรับโรงงานไทยฮง เรามองว่ามันคือด่านแรกในการปกป้องสินค้าของคุณให้ถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย จึงได้พัฒนาสูตรพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานจริง โดยเพิ่มเม็ดพลาสติก LLDPE เกรด C6 ของ ExxonMobil ลงในกระบวนการผลิต

ทดสอบการรับน้ำหนักและความเหนียวของถุงพลาสติกเม็ด C6

    เม็ดพลาสติกเกรด C6 นี้มีความแข็งแรงกว่าเม็ดพลาสติก LLDPE ทั่วไปเกรด C4 ถึง 2 เท่า และทนต่อการทิ่มจากของมีคมได้มากกว่า 7 เท่า ส่งผลให้ถุงมีความเหนียวสูง ไม่ขาดง่าย แม้ต้องรับน้ำหนักมากหรือเจอกับสินค้าที่มีขอบคม ตัวอย่างจากการทดสอบจริง ถุงสามารถบรรจุวัสดุหนักหลายกิโลกรัมได้อย่างมั่นใจโดยไม่ฉีกขาด

     นอกจากความทนทาน ถุงยังคงความยืดหยุ่นและนุ่มมือ ไม่แข็งกระด้าง ทำให้สะดวกต่อการใช้งานทั้งในโรงงาน ร้านค้า และภาคเกษตร เหมาะกับสินค้าที่ต้องการการปกป้องพิเศษ เช่น ชิ้นส่วนเครื่องจักร อะไหล่โลหะ ผลผลิตทางการเกษตร หรือสินค้าที่ต้องขนส่งทางไกล

     เลือกใช้ ถุงพลาสติกสูตรเหนียวพิเศษจากไทยฮง เพื่อให้ทุกการขนส่งของคุณมั่นใจได้มากกว่าที่เคย เพราะเราใส่ใจตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงขั้นตอนการผลิต เพื่อให้คุณได้ถุงที่แข็งแรง ทนทาน และพร้อมใช้งานจริงในทุกสถานการณ์