ตัวอย่างการใช้งานถุงรองถัง 200 ลิตร

ถุงพลาสติกรองในถังขนาด 200 ลิตรถุงพลาสติกรองในถังที่สารเคมีสีเหลือง

ถุงพลาสติกรองถัง HDPE ทางเลือกใหม่ในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

ในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมี สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ ความสะอาด ความปลอดภัย และความคุ้มค่า การใช้ ถุงพลาสติกรองถัง จึงกลายเป็นทางเลือกที่ช่วยให้องค์กรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในขั้นตอนการจัดการสารเคมีที่ต้องอาศัยความรอบคอบและลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อน

ขั้นตอนการใช้งานถุงพลาสติกรองถัง

                เริ่มต้นจากการนำถุงพลาสติกใส่เข้าไปในถังที่ต้องใช้ เมื่อถุงถูกจัดวางอย่างเหมาะสม ผู้ใช้งานสามารถใส่สารเคมีลงไปในถุงได้ทันที จากนั้นจึงเริ่มทำการ Process สารเคมี ตามกระบวนการผลิตหรือการผสมที่กำหนดไว้ เมื่อสารเคมีผ่านขั้นตอนจนเสร็จสมบูรณ์ สามารถถ่ายเทออกจากถุงไปยังบรรจุภัณฑ์อื่นเพื่อจัดเก็บหรือจำหน่ายต่อไป สุดท้ายเมื่อถุงพลาสติกหมดหน้าที่ ก็เพียงแค่ถอดออกและส่งไปทำลายอย่างถูกวิธี ก็พร้อมสำหรับการใช้งานครั้งถัดไปทันที

การใช้ถุงพลาสติกรองถังช่วยให้ลูกค้า ประหยัดต้นทุน ได้หลายด้าน ได้แก่

  • ลดโอกาสการปนเปื้อน เพราะถุงที่ใช้เป็นถุงใหม่ทุกครั้ง ทำให้มั่นใจได้ว่าความสะอาดและคุณภาพของสารเคมีคงที่
  • ประหยัดเวลา เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาล้างถังหลังการใช้งาน ทำให้งานต่อไปเริ่มได้รวดเร็วขึ้น
  • ลดค่าใช้จ่ายในการใช้สารเคมีล้างถัง เช่น Solvent หรือสารทำความสะอาด ซึ่งปกติเป็นต้นทุนที่สูงและต้องใช้อย่างต่อเนื่อง
  • ทั้งหมดนี้ช่วยให้องค์กรไม่เพียงแต่ได้ประโยชน์ด้านการลดค่าใช้จ่าย แต่ยังได้ความสะดวก ความปลอดภัย และการจัดการที่ง่ายขึ้น

สำหรับธุรกิจที่กำลังมองหาวิธีจัดการสารเคมีอย่างคุ้มค่าและปลอดภัย ถุงพลาสติกรองถัง HDPE 40×60″ ของไทยฮง คือทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม แข็งแรง ใช้งานง่าย และตอบโจทย์ทั้งเรื่องคุณภาพและต้นทุนในเวลาเดียวกัน

 

ค่า WVTR คืออะไร?

ค่า WVTR คือค่าอัตราการซึมผ่านของไอน้ำผ่านวัสดุบรรจุภัณฑ์WVTR หรือ Water Vapor Transmission Rate คือค่าอัตราการซึมผ่านของไอน้ำผ่านวัสดุบรรจุภัณฑ์ ซึ่งใช้บอกความสามารถในการป้องกันความชื้นของวัสดุนั้น ๆ ค่า WVTR ยิ่งต่ำ แสดงว่าวัสดุสามารถกั้นไอน้ำได้ดี เหมาะสำหรับการบรรจุสินค้าที่ไวต่อความชื้น เช่น อาหารแห้ง ขนมกรอบ หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ แต่หากเป็นงานทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการการกักเก็บความชื้นสูง ก็สามารถเลือกใช้วัสดุที่มีค่า WVTR สูงกว่าได้ เพื่อความคุ้มค่าในการผลิต

ค่า WVTR ของ HDPE และ LDPE

  • HDPE (High Density Polyethylene) มีโครงสร้างที่หนาแน่นกว่า ทำให้มีค่า WVTR ต่ำกว่า LDPE โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 0.5 – 2.0 g/m²/day (ขึ้นอยู่กับความหนาของฟิล์ม) จึงกันความชื้นได้ดีกว่า

  • LDPE (Low Density Polyethylene) มีโครงสร้างที่ไม่หนาแน่นเท่า HDPE จึงมีค่า WVTR สูงกว่า โดยทั่วไปประมาณ 1.0 – 4.0 g/m²/day (ขึ้นอยู่กับความหนาเช่นกัน)

กล่าวได้ว่า HDPE เหมาะสำหรับงานที่ต้องการป้องกันความชื้นได้ดีกว่า ส่วน LDPE จะยืดหยุ่นและเหนียวกว่า แต่กันความชื้นได้น้อยกว่า HDPE

การใช้งานถุง HDPE และ LDPE

สำหรับงานผลิตถุงพลาสติกทั่วไป เช่น ถุงหูหิ้ว ถุงใส่สินค้าในร้านค้า หรือถุงบรรจุภัณฑ์สินค้าที่ไม่อ่อนไหวต่อความชื้น ทั้ง HDPE และ LDPE สามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นงานขายปลีก งานห่อหุ้มสินค้า หรือการขนส่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถนอมอาหารระยะยาวหรือการบรรจุแบบสุญญากาศ

อย่างไรก็ตาม หากเป็นงานที่สินค้าไม่สามารถสัมผัสกับความชื้นได้เลย เช่น ผงกรอบ ขนมอบกรอบ หรือยา ควรเลือกใช้วัสดุชนิดอื่น ๆ ที่มีค่า WVTR ต่ำกว่านี้ เช่น ฟิล์มหลายชั้น (Multi-layer Film) หรือฟอยล์อะลูมิเนียม เพื่อการปกป้องที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

การใช้งานในเชิงธุรกิจและความคุ้มค่า

ในมุมมองด้านต้นทุน ถุง HDPE และ LDPE ถือว่ามีความคุ้มค่าในการผลิตสูง เนื่องจากวัตถุดิบหาได้ง่าย กระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน และสามารถปรับความหนาบางได้ตามความต้องการของลูกค้า ผู้ประกอบการจึงนิยมเลือกใช้สำหรับสินค้าทั่วไป เช่น เสื้อผ้า เครื่องใช้ในบ้าน หรือสินค้าอุปโภคที่ไม่กังวลเรื่องความชื้น จุดเด่นของถุงพลาสติกทั้งสองชนิดคือความทนทาน ใช้งานสะดวก และต้นทุนต่อชิ้นต่ำ เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและการค้าปลีก ซึ่งแตกต่างจากวัสดุเฉพาะทางที่ออกแบบมาเพื่อกันความชื้นโดยตรงซึ่งมักมีราคาสูงกว่า

ค่า OTR (Oxygen Transmission Rate) คืออะไร

ข้อมูลเพื่ออธิบายค่า OTR (Oxygen Transmission Rate) ของถุงพลาสติก LDPE

ค่า OTR หรือ Oxygen Transmission Rate คือค่าที่ใช้บอกอัตราการซึมผ่านของก๊าซออกซิเจนผ่านวัสดุหนึ่ง ๆ ในช่วงเวลาที่กำหนด โดยทั่วไปนิยมใช้ในวงการบรรจุภัณฑ์อาหาร เนื่องจากออกซิเจนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้สินค้าเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น เช่น การเกิดเหม็นหืนในอาหารที่มีไขมัน หรือการเปลี่ยนสีของผลิตภัณฑ์บางชนิด การรู้ค่า OTR ของวัสดุที่ใช้จึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้ผลิตเลือกบรรจุภัณฑ์ได้เหมาะสมกับลักษณะของสินค้าและอายุการเก็บรักษาที่ต้องการ

จริง ๆ แล้ว แม้แต่พลาสติกที่หลายคนมองว่าป้องกันอากาศได้ดีอย่าง LDPE (Low Density Polyethylene) ก็ยังมีการซึมผ่านของออกซิเจนอยู่ เพียงแต่ในระดับที่แตกต่างจากพลาสติกชนิดอื่น ๆ งานวิจัยและข้อมูลอ้างอิงหลายแหล่งระบุว่าค่า OTR ของ LDPE อยู่ในช่วงประมาณ 2,000–8,000 ซีซี/ตารางเมตร/วัน/บรรยากาศ ที่อุณหภูมิห้อง ซึ่งถือว่ามีการซึมผ่านได้ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับพลาสติกชนิดที่มีคุณสมบัติด้านกั้นก๊าซสูง เช่น PET หรือ EVOH

ด้วยเหตุนี้ LDPE จึงไม่เหมาะสำหรับใช้ในบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการการกักเก็บก๊าซอย่างเข้มงวด เช่น อาหารที่ต้องการบรรจุสูญญากาศหรือ Modified Atmosphere Packaging (MAP) อย่างไรก็ตาม LDPE กลับมีข้อดีในด้านความยืดหยุ่น โปร่งใส และต้นทุนต่ำ ทำให้เหมาะกับการนำไปใช้บรรจุสินค้าทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการควบคุมการซึมผ่านของอากาศอย่างเข้มงวด เช่น ขนมขบเคี้ยว ผักผลไม้สด หรือสินค้าที่มีรอบการจำหน่ายสั้น

สรุปได้ว่า ค่า OTR เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ผู้ประกอบการควรรู้เพื่อเลือกวัสดุบรรจุภัณฑ์ได้เหมาะสม สำหรับ LDPE แม้จะมีคุณสมบัติซึมผ่านอากาศได้ แต่ก็ยังคงเป็นถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้ดี หากใช้กับสินค้าที่ไม่จำเป็นต้องเก็บรักษาในสภาวะปลอดอากาศ

พลาสติก HDPE และ LDPE มีความหนาแน่นเท่าไร

ค่าความหนาแน่นของพลาสติกชนิด HDPE และ LDPE เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำแล้วมีความเบากว่าน้ำ
พลาสติกเป็นวัสดุที่เราพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ถุงใส่ของ ขวดน้ำ ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์อาหาร โดยหนึ่งในพลาสติกที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือโพลีเอทิลีน (Polyethylene) ซึ่งแบ่งออกเป็นสองชนิดหลัก คือ
HDPE (High Density Polyethylene) และ LDPE (Low Density Polyethylene) ความแตกต่างสำคัญของทั้งสองชนิดนี้อยู่ที่โครงสร้างโมเลกุล ทำให้คุณสมบัติและความหนาแน่นแตกต่างกัน

  • HDPE มีความหนาแน่นประมาณ 0.94 – 0.97 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร

  • LDPE มีความหนาแน่นประมาณ 0.91 – 0.93 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร

เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำซึ่งมีความหนาแน่น 1.0 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร จะเห็นได้ว่าทั้ง HDPE และ LDPE มีความหนาแน่นน้อยกว่า ทำให้เมื่อพลาสติกเหล่านี้ถูกทิ้งลงน้ำ จึงสามารถลอยอยู่บนผิวน้ำได้โดยไม่จมลงไป

อย่างไรก็ตาม การทิ้งพลาสติกลงแหล่งน้ำเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากพลาสติกที่ลอยอยู่บนผิวน้ำจะรบกวนระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตในทะเล สัตว์น้ำอย่างเต่า ปลาหรือแม้แต่นกทะเล อาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาหารและกลืนกินเข้าไป ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารอุดตัน เกิดภาวะขาดสารอาหาร และอาจนำไปสู่การเสียชีวิต นอกจากนี้พลาสติกยังใช้เวลาย่อยสลายยาวนานหลายร้อยปี ทำให้ปัญหาสะสมต่อเนื่องและยากต่อการแก้ไข

ทำไมไม่ควรทิ้งพลาสติกลงน้ำ

หลายคนอาจคิดว่าการทิ้งขยะพลาสติกลงแม่น้ำหรือทะเลเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นร้ายแรงมาก เนื่องจากพลาสติกส่วนใหญ่ เช่น HDPE และ LDPE มีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ ทำให้พลาสติก ลอยอยู่บนผิวน้ำ ไม่จมลงไป การที่พลาสติกลอยอยู่เป็นเวลานาน ไม่เพียงทำให้แหล่งน้ำสกปรกและไม่น่ามอง แต่ยังส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศในระยะยาวอีกด้วย

พลาสติกที่ลอยน้ำส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลอย่างไร

เมื่อพลาสติกลอยอยู่บนผิวน้ำ สัตว์ทะเลหลายชนิดอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาหาร เช่น เต่าทะเลที่มักกลืนถุงพลาสติกเพราะเข้าใจว่าเป็นแมงกะพรุน หรือปลาที่กินเศษพลาสติกชิ้นเล็ก ๆ เข้าไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อพลาสติกสะสมในร่างกายมากขึ้น สัตว์จะเกิดภาวะอุดตันในทางเดินอาหาร ขาดสารอาหาร หรือเสียชีวิตในที่สุด

นอกจากนี้ เมื่อพลาสติกเสื่อมสภาพก็จะแตกตัวเป็น ไมโครพลาสติก ขนาดเล็กที่ล่องลอยในน้ำ สัตว์น้ำทุกระดับสามารถกลืนเข้าไปได้ ตั้งแต่แพลงก์ตอน ปลาเล็ก ไปจนถึงปลาที่มนุษย์บริโภค สิ่งนี้หมายความว่าพลาสติกที่เราทิ้งลงทะเล อาจย้อนกลับมาสู่ร่างกายของเราเองในรูปแบบอาหารทะเลที่มีการปนเปื้อนไมโครพลาสติก ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว

นอกจากผลกระทบต่อสัตว์น้ำแล้ว พลาสติก HDPE และ LDPE ที่ลอยอยู่ยังสะสมตามชายหาดและผิวน้ำ สร้างปัญหาขยะที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและวิถีชีวิตของชุมชนชายฝั่ง เมื่อพลาสติกเหล่านี้แตกตัวกลายเป็น ไมโครพลาสติก ขนาดเล็กที่ตามองไม่เห็น สิ่งมีชีวิตในทะเลสามารถเผลอกลืนกินเข้าไปได้ง่าย และไมโครพลาสติกเหล่านี้ยังสามารถย้อนกลับเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ผ่านการบริโภคอาหารทะเล ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว

การเปลี่ยนพฤติกรรมเพียงเล็กน้อย เช่น การพกถุงรีไซเคิลติดตัวเวลาไปตลาดหรือห้างสรรพสินค้า อาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่เมื่อคนจำนวนมากร่วมมือกัน ก็จะช่วยลดปริมาณพลาสติกที่ถูกทิ้งลงสิ่งแวดล้อมได้อย่างมหาศาล ถุงรีไซเคิลของ ไทยฮง ถูกออกแบบให้แข็งแรง ทนทาน ใช้ซ้ำได้หลายครั้ง และยังเป็นตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อโลก เหมาะสำหรับทุกครอบครัวที่อยากเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วันนี้

อยากรู้ความหนาของถุงพลาสติก ต้องทำยังไง?

การหาความหนาของถุงพลาสติกง่ายๆ ด้วยเครื่องมือพื้นฐาน

ปัญหาที่พบบ่อยในการซื้อ ขายถุงพลาสติก คือ ลูกค้ามักไม่ทราบว่าถุงที่ใช้จริงมีความหนาเท่าไร เนื่องจากความหนาของพลาสติกต้องใช้เครื่องวัดแบบเฉพาะ ซึ่งโดยทั่วไปไม่ค่อยมีอยู่ในมือผู้ใช้ทั่วไป ทำให้เกิดความไม่มั่นใจเวลาสั่งซื้อหรือต้องการเปรียบเทียบคุณภาพระหว่างผู้ผลิต

การนำถุงพลาสติกมาชั่งรวมกันน้ำหนัก 1 กก.การวัดขนาดถุงพลาติกด้วยตลับเมตรจริงๆ แล้ว เราสามารถหาค่าความหนาได้ไม่ยาก เพียงใช้เครื่องชั่งน้ำหนักกับตลับเมตรหรือไม้บรรทัดเท่านั้น วิธีการคือ ให้นำถุงพลาสติกมาชั่งน้ำหนักรวมกัน 1 กิโลกรัม จากนั้นนับจำนวนถุงทั้งหมดที่ได้ แล้ววัดขนาดถุงแต่ละใบ (กว้าง × ยาว) เพื่อหาพื้นที่ของถุง เมื่อได้ข้อมูลครบแล้วสามารถคำนวณย้อนกลับได้ดังนี้

สูตร :  1750 ÷ กว้าง ÷ ยาว ÷ จำนวนใบ

1750  = ความหนาแน่นของพลาสติก
กว้าง = ความกว้างของถุง มีหน่วยเป็น นิ้ว
ยาว = ความยาวของถุง มีหน่วยเป็น นิ้ว
หนา = ความหนาของถุง มีหน่วยเป็น mm
จำนวนใบ = การนำถุงพลาสติกมาชั่งน้ำหนักรวมกัน 1 กิโลกรัม

ตัวอย่าง วัดขนาดถุงได้ 31 x 52″
น้ำหนักถุง 1 กก. จำนวนที่นับได้ มี 18 ใบ

1750÷31÷52÷18 = 0.06

สรุป คือ ถุงใบนี้มีความหนา 0.06 mm / ใบ นั่นเอง

ถุงมุ้งคืออะไร มีข้อดีและประโยชน์อย่างไร

ภาพถุงมุ้งคลุมของบนพาเลท
ถุงมุ้ง คือบรรจุภัณฑ์ลักษณะพิเศษที่ถูกออกแบบมาในรูปแบบทรงลูกบาศก์ 3 มิติ แตกต่างจากถุงพลาสติกทั่วไปตรงที่มีความแข็งแรงและคงรูปได้ดีกว่า เหมาะสำหรับการใส่สินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรม หรือสินค้าที่ต้องการป้องกันฝุ่นและสิ่งสกปรกจากภายนอก การสั่งผลิตถุงมุ้งนั้น ลูกค้าจำเป็นต้องแจ้ง ขนาดกว้าง × ยาว × สูง อย่างชัดเจน เพื่อให้ได้ถุงที่พอดีกับการใช้งานจริง

ลักษณะของถุงมุ้ง

ถุงมุ้งทำจากแผ่นพลาสติกประเภท Polyethlene และด้วยการซีลด้วยความร้อนประกอบให้เป็นทรงกล่อง ทำให้สามารถกางออกมาใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องพับหรือจัดรูปทรงซ้ำ ตัวถุงยังสามารถผลิตในขนาดใหญ่พิเศษได้ รองรับสินค้าที่มีปริมาณมากโดยไม่จำเป็นต้องแยกใส่หลายถุง

ข้อดีของถุงมุ้ง

  1. รองรับการใช้งานไซส์ใหญ่ – ลูกค้าสามารถสั่งผลิตขนาดพิเศษได้ ทำให้ประหยัดเวลาและต้นทุน เพราะไม่ต้องใช้ถุงหลายใบในการบรรจุ

  2. ใช้งานง่าย – เพียงกางถุงออกแล้วครอบสินค้าหรือบรรจุเข้าไปได้เลย ไม่ยุ่งยาก

  3. ทนทานและระบายอากาศได้ดี – ช่วยป้องกันฝุ่นและสิ่งสกปรก แต่ยังคงให้อากาศถ่ายเท เหมาะสำหรับผลไม้ ผัก หรือสินค้าที่ไม่ควรอับชื้น

  4. สะดวกในการขนย้ายและจัดเก็บ – เมื่อกางเป็นทรงสี่เหลี่ยม สามารถซ้อนวางได้อย่างเป็นระเบียบ และเมื่อไม่ใช้งานก็พับเก็บได้ง่าย

ประโยชน์ในการใช้งาน

ถุงมุ้งเหมาะกับหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เกษตรกรรมที่ใช้บรรจุผลผลิตจำนวนมากโดยไม่ทำให้สินค้าเสียหาย การขนส่งที่ต้องการป้องกันสิ่งปนเปื้อน รวมถึงการเก็บรักษาสินค้าในคลังที่ต้องการความสะอาดและระบายอากาศ นอกจากนี้ยังเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในเชิงธุรกิจ เนื่องจากช่วยลดจำนวนบรรจุภัณฑ์ที่ต้องใช้ และทำให้ขั้นตอนการทำงานคล่องตัวมากขึ้น

ถุงพลาสติกบรรจุอาหารของไทยฮง ผ่านการทดสอบเพาะเชื้อแบคทีเรีย 6 ชนิดจากห้องแล็บ SGS

ผลการทดสอบเพาะเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในคน 6 ชนิด บนถุงพลาสติกบรรจุอาหารของไทยฮง ทดสอบโดย SGS ประเทศไทย
ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความสะอาดและความปลอดภัยของอาหาร การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสะดวก แต่ยังหมายถึงความมั่นใจด้านสุขอนามัยด้วย ถุง FoodGrade ของไทยฮง ได้ผ่านการทดสอบการปนเปื้อนจุลินทรีย์ก่อโรคในห้องปฏิบัติการของ SGS (Thailand) ซึ่งเป็นหน่วยงานทดสอบมาตรฐานสากล โดยผลการทดสอบล่าสุดแสดงให้เห็นว่า ไม่พบการปนเปื้อนของเชื้อก่อโรคที่สำคัญต่อสุขภาพ 5 ชนิด รวมถึงการตรวจนับจุลินทรีย์รวม (Total Plate Count) ที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน

ความอันตรายของเชื้อที่ทดสอบ

  • E.coli: เชื้อในกลุ่มโคลิฟอร์มที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสีย อาเจียน และในบางสายพันธุ์อาจก่อโรครุนแรงถึงขั้นไตวายเฉียบพลัน

  • Staphylococcus aureus: พบได้บ่อยในผิวหนังและทางเดินหายใจ การปนเปื้อนอาหารอาจก่อให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษเฉียบพลัน เช่น อาเจียนและปวดท้อง

  • Bacillus cereus: เชื้อที่สร้างสปอร์ได้ มักพบในอาหารแห้งหรืออาหารที่เก็บไว้นาน ก่อให้เกิดอาการท้องเสียหรืออาเจียน

  • Salmonella spp.: เชื้อที่พบมากในเนื้อสัตว์และไข่ สามารถก่อให้เกิดไข้ไทฟอยด์หรืออาหารเป็นพิษได้

  • Clostridium perfringens: เชื้อที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมทั่วไปและในลำไส้คน หากอาหารปนเปื้อนและเก็บไม่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดอาการท้องเสียเฉียบพลัน

  • Total Plate Count: เป็นการตรวจนับจุลินทรีย์รวมทั้งหมด ซึ่งค่าที่ต่ำแสดงถึงความสะอาดและความปลอดภัยของบรรจุภัณฑ์

เหตุผลที่ควรเลือกใช้ถุง FoodGrade ไทยฮง

  • ผ่านมาตรฐาน SGS Lab FoodGradeรวม 435 14-02-2025HL_202502_REPORT_NO_6134352 ระดับสากล

  • ผลการทดสอบยืนยันว่า ไม่พบเชื้อก่อโรค ทั้ง 5 ชนิด

  • ใช้วัตถุดิบ Food Grade และกระบวนการผลิตที่ควบคุมความสะอาดเข้มงวด

มั่นใจได้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การผลิตจนถึงมือผู้บริโภค

นอกจากผลการทดสอบที่ยืนยันว่า ถุง FoodGrade ของไทยฮงปลอดจากเชื้อก่อโรค ทั้ง E.coli, Salmonella และเชื้อจุลินทรีย์อันตรายอื่น ๆ แล้ว กระบวนการผลิตของเรายังอยู่ภายใต้ระบบควบคุมคุณภาพที่เข้มงวดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบเกรดอาหาร ไปจนถึงการบรรจุและการจัดเก็บ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าถุงทุกใบที่ส่งถึงมือลูกค้านั้นสะอาด ปลอดภัย และเหมาะสมกับการบรรจุอาหารอย่างแท้จริง การเลือกใช้ถุงของไทยฮงจึงไม่ใช่แค่การเลือกบรรจุภัณฑ์ แต่คือการเลือก “มาตรฐานความปลอดภัย” ที่ช่วยปกป้องผู้บริโภคและสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกธุรกิจอาหาร

ถุงพลาสติกสูตรเหนียวพิเศษ จากโรงงานไทยฮง

เมื่อพูดถึงถุงพลาสติก หลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงวัสดุบรรจุธรรมดา แต่สำหรับโรงงานไทยฮง เรามองว่ามันคือด่านแรกในการปกป้องสินค้าของคุณให้ถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย จึงได้พัฒนาสูตรพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานจริง โดยเพิ่มเม็ดพลาสติก LLDPE เกรด C6 ของ ExxonMobil ลงในกระบวนการผลิต

ทดสอบการรับน้ำหนักและความเหนียวของถุงพลาสติกเม็ด C6

    เม็ดพลาสติกเกรด C6 นี้มีความแข็งแรงกว่าเม็ดพลาสติก LLDPE ทั่วไปเกรด C4 ถึง 2 เท่า และทนต่อการทิ่มจากของมีคมได้มากกว่า 7 เท่า ส่งผลให้ถุงมีความเหนียวสูง ไม่ขาดง่าย แม้ต้องรับน้ำหนักมากหรือเจอกับสินค้าที่มีขอบคม ตัวอย่างจากการทดสอบจริง ถุงสามารถบรรจุวัสดุหนักหลายกิโลกรัมได้อย่างมั่นใจโดยไม่ฉีกขาด

     นอกจากความทนทาน ถุงยังคงความยืดหยุ่นและนุ่มมือ ไม่แข็งกระด้าง ทำให้สะดวกต่อการใช้งานทั้งในโรงงาน ร้านค้า และภาคเกษตร เหมาะกับสินค้าที่ต้องการการปกป้องพิเศษ เช่น ชิ้นส่วนเครื่องจักร อะไหล่โลหะ ผลผลิตทางการเกษตร หรือสินค้าที่ต้องขนส่งทางไกล

     เลือกใช้ ถุงพลาสติกสูตรเหนียวพิเศษจากไทยฮง เพื่อให้ทุกการขนส่งของคุณมั่นใจได้มากกว่าที่เคย เพราะเราใส่ใจตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงขั้นตอนการผลิต เพื่อให้คุณได้ถุงที่แข็งแรง ทนทาน และพร้อมใช้งานจริงในทุกสถานการณ์

ความแตกต่างระหว่างแม่สีขาว Calcium กับ Titanium

รูปภาพแม่สีขาว Calcium และ Titanium วางคู่กัน

เมื่อพูดถึง “แม่สีขาว” ในงานพลาสติก หมึกพิมพ์ สีทาอุตสาหกรรม หรือเคลือบผิว วัตถุดิบที่เจอบ่อยมีอยู่สองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ Calcium Carbonate (CaCO₃) และ Titanium Dioxide (TiO₂) หลายคนมองว่าทั้งคู่ให้ผลเป็นสีขาวเหมือนกัน แต่ในเชิงเทคนิคและการใช้งานจริง ความต่างค่อนข้างชัด ทั้งด้านความขาว ความทึบแสง ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม รวมถึงต้นทุนต่อกิโลกรัมและต้นทุนต่อชิ้นงาน

Calcium (CaCO₃)

ภาพรวม
Calcium เป็นผงแร่สีขาวที่นิยมใช้เป็นสารเติมแต่ง (filler) ในเม็ดสีและคอมพาวด์ ใช้ง่าย ราคาประหยัด เหมาะกับงานที่ไม่ต้องการ “ขาวจัด” หรือความทึบสูงมาก

ข้อดี

  • ช่วยลดต้นทุนได้มาก เหมาะกับงานปริมาณสูง

  • ปรับความหนืดและช่วยการขึ้นรูปให้เสถียรในหลายสูตร

  • ให้สัมผัสผิวที่ “แน่น” และช่วยเพิ่มความแข็งในบางระบบเรซิน

ข้อเสีย

  • ความขาว ความสว่าง และความทึบแสงต่ำกว่า Titanium

  • ใส่ปริมาณสูงเกินไปอาจทำให้ชิ้นงานเปราะ แตกง่าย

  • ไม่เด่นเรื่องทนรังสี UV สีอาจซีดหรือเหลืองไวกว่าในงานกลางแจ้ง

เหมาะกับงานแบบไหน
บรรจุภัณฑ์ชั้นใน ถุงพลาสติกทั่วไป ชิ้นส่วนที่เน้นความคุ้มค่า งานที่สีขาว “พอใช้” ไม่ต้องขาวจัด และใช้งานในร่มเป็นหลัก

Titanium (TiO₂)

ภาพรวม
Titanium Dioxide เป็นเม็ดสีขาวที่ขึ้นชื่อเรื่องความทึบแสงและความสว่างสูงมาก เม็ดสีจิ๋ว ๆ ของมันมีความสามารถกระเจิงแสงดี จึง “ปิดพื้น” ได้ไว ใช้ไม่มากก็ขาวสะอาดตา

ข้อดี

  • ให้ความขาวสว่างและความทึบแสงสูงมาก พื้นผิวดูสะอาด เงางาม

  • ทนรังสี UV สีเสถียร เหมาะกับงานกลางแจ้งหรือสินค้าพรีเมียม

  • ช่วยคุณภาพการพิมพ์และการเคลือบให้สีคมชัด

ข้อเสีย

  • ราคาสูงกว่า Calcium อย่างมีนัยสำคัญ

  • ต้องใส่สารช่วยกระจาย (dispersant) และควบคุมกระบวนการให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจเกิดการรวมตัวเป็นก้อน จุดด่าง หรือผิวส้ม

เหมาะกับงานแบบไหน
บรรจุภัณฑ์สินค้าพรีเมียม ฉลากและงานพิมพ์ งานที่ต้องการขาวจัด ปิดพื้นดี ทนแดด เช่น อุปกรณ์กลางแจ้ง เฟอร์นิเจอร์สนาม หรือชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่ต้องรักษาหน้าตาในระยะยาว

เลือกอย่างไรให้คุ้ม

คิดแบบง่าย ๆ คือ หาก “เน้นต้นทุนและปริมาณ” และสเปกสีขาวไม่เข้มงวดมาก ให้เริ่มที่ Calcium แล้วพิจารณาปรับสัดส่วนให้สมดุล แต่ถ้า “เน้นคุณภาพภาพลักษณ์ ความทน UV และความขาวระดับสูง” Titanium จะตอบโจทย์กว่า ในหลายกรณี สูตรที่ดีอาจผสมทั้งสองเพื่อให้ได้ความคุ้มค่าและคุณภาพที่สมดุล ขึ้นกับเรซิน กระบวนการ และเงื่อนไขการใช้งานจริง


ที่โรงงานไทยฮง เราผลิตแม่สีขาวได้ทั้ง เกรด Calcium และ เกรด Titanium พร้อมช่วยออกแบบสูตรให้เหมาะกับงานของลูกค้า ไม่ว่าจะเน้น ราคา หรือ สมรรถนะการใช้งาน ทีมเทคนิคของเรายินดีแนะนำให้เลือกแม่สีที่คุ้มค่าที่สุด ตอบโจทย์ทั้งด้านความสวยงาม ความทนทาน และงบประมาณของคุณ

วัตถุดิบเม็ดพลาสติก PIR และ PCR คืออะไร และต่างกันอย่างไร?

รูปวัตถุดิบเม็ดพลาสติก PIR และ PCR เปรียบเทียบกัน

ในยุคที่โลกให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน วัตถุดิบเม็ดพลาสติกประเภท PIR และ PCR จึงกลายมาเป็นทางเลือกสำคัญของอุตสาหกรรมพลาสติก ทั้งสองแบบนี้อยู่ในกลุ่ม เม็ดพลาสติกรีไซเคิล (Recycled Resin) แต่มีความแตกต่างกันชัดเจนในด้านแหล่งที่มาและกระบวนการจัดการก่อนนำกลับมาใช้ใหม่


ความหมายของ PIR (Post-Industrial Recycled Plastic)

PIR ย่อมาจาก Post-Industrial Recycled Plastic หรือเม็ดพลาสติกรีไซเคิลจากอุตสาหกรรม ซึ่งได้จากเศษพลาสติกที่เหลือจากกระบวนการผลิตภายในโรงงาน เช่น ขอบวัสดุที่ตัดทิ้ง หรืองานที่ผลิตเสีย ไม่ผ่านเกณฑ์คุณภาพ แม้จะยังไม่เคยใช้งานจริง แต่ก็ถูกแยกออกจากไลน์การผลิตก่อนที่จะถึงมือผู้บริโภค

ข้อดีของ PIR:

  • คุณภาพใกล้เคียงกับเม็ดใหม่ (Virgin Grade)

  • สะอาด ควบคุมที่มาได้ง่าย

  • มีความสม่ำเสมอสูง เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการคุณภาพใกล้เคียงของใหม่


ความหมายของ PCR (Post-Consumer Recycled Plastic)

PCR ย่อมาจาก Post-Consumer Recycled Plastic หรือเม็ดพลาสติกรีไซเคิลหลังการใช้งานของผู้บริโภค โดยได้จากการเก็บรวบรวมบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้แล้ว เช่น ขวดน้ำ ขวดแชมพู หรือภาชนะต่าง ๆ ที่ถูกทิ้งและผ่านกระบวนการคัดแยก ล้าง บด และหลอมใหม่อีกครั้ง

ข้อดีของ PCR:

  • ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกในสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรม

  • เหมาะกับแบรนด์ที่มุ่งเน้นด้านความยั่งยืน (Sustainability)

  • สนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)


แล้วควรเลือกใช้แบบไหน?

การเลือกใช้ PIR หรือ PCR ขึ้นอยู่กับลักษณะของงาน ความต้องการด้านคุณภาพ และเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กร:

  • ถ้าคุณต้องการคุณภาพใกล้เคียงกับเม็ดใหม่ เช่น สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนหรือมีมาตรฐานสูง PIR คือตัวเลือกที่เหมาะสม

  • แต่ถ้าคุณต้องการเน้นภาพลักษณ์แบรนด์ที่ใส่ใจโลก ลดขยะจริงจากผู้บริโภค PCR คือคำตอบที่ใช่


โรงงานไทยฮง รองรับการผลิตทั้ง PIR และ PCR

โรงงาน ไทยฮง มีความเชี่ยวชาญในการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลทั้งประเภท PIR และ PCR ภายใต้กระบวนการที่ได้มาตรฐาน และใส่ใจในคุณภาพทุกขั้นตอน ลูกค้าสามารถเลือกเกรดเม็ดพลาสติกที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของตนได้อย่างมั่นใจ

เราเข้าใจดีว่าความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรมแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเน้นคุณภาพหรือเน้นความยั่งยืน โรงงานไทยฮงพร้อมเป็นพันธมิตรด้านวัตถุดิบที่คุณไว้ใจได้


🌱 เปลี่ยนขยะให้มีคุณค่า เลือกใช้ถุงพลาสติกรีไซเคิลกับโรงงานไทยฮง วันนี้