การทดสอบก้นถุงพลาสติกด้วยการใส่น้ำ

รูปถุงแขวนน้ำ ทดสอบรอยซีลถุง และมิเตอร์น้ำ

มั่นใจในคุณภาพทุกใบ – ถุงพลาสติกจากไทยฮง ผ่านการสุ่มทดสอบอย่างเข้มงวด

ที่ โรงงานไทยฮง พลาสติก เราให้ความสำคัญกับคุณภาพของถุงพลาสติก โดยเฉพาะ “รอยซีลที่ก้นถุง” ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่อาจเกิดการรั่วซึมได้หากผลิตไม่ดี หรือซีลก้นไม่แน่น ดังนั้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า โรงงานของเราจึงมีขั้นตอนการ ตรวจสอบคุณภาพด้วยการใส่น้ำลงในถุงพลาสติก และแขวนพักไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลและสามารถตรวจพบปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ

ซึ่งทางไทยฮงได้มีการ ควบคุมปริมาณน้ำด้วยมิเตอร์ เพื่อให้แน่ใจว่าการทดสอบในแต่ละครั้งมีมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด และเพื่อความแม่นยำและสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ เราบันทึกเวลาเริ่มทดสอบไว้อย่างชัดเจนในทุกครั้ง

นอกจากนี้ ทีมควบคุมคุณภาพของเรายังมีการ ติดตามผลการทดสอบ อย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินผลและพัฒนาให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพสูงสุด

เพราะทุกถุงของคุณ ต้องมั่นใจได้ทุกครั้งที่ใช้งาน — เราทดสอบให้คุณก่อนเสมอ!

วิธีปิดปากถุงพลาสติกหลังใส่สินค้า

วิธีปิดปากถุงพลาสติก-แนะนำโดยโรงงานไทยฮง

หลายคนอาจเคยสงสัยว่า ถุงพลาสติกที่เราใช้ใส่ของควรปิดปากถุงยังไงให้แน่นหนา ไม่หลุดง่าย ที่จริงแล้ววิธีปิดปากถุงมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการใช้งาน ดังนี้

  1. ปิดปากถุงด้วยเทปกาว
    ข้อดี    ใช้งานง่าย รวดเร็ว เหมาะกับการปิดถุงชั่วคราว
    ข้อควรระวัง   อาจมีช่องว่าง ทำให้ฝุ่นหรือแมลงเล็ดลอดเข้าไปได้ จึงไม่เหมาะกับสินค้าที่มีความต้องการมิดชิด
  2.  ม้วนแล้วมัด
    ข้อดี     เหมาะกับถุงที่มีขนาดใหญ่ หรือบรรจุสินค้าที่มีปริมาณมาก เช่น การใส่ขยะจากงานอุตสาหกรรมการผลิต
    ข้อควรระวัง  ปลายถุงที่มัดอาจเกะกะ ดูไม่เรียบร้อย ใช้พื้นที่จัดเก็บเยอะขึ้น
  3. ซีลด้วยความร้อน
    ข้อดี     ปิดสนิท ป้องกันฝุ่น อากาศ ความชื้น และแมลง เหมาะสำหรับของที่เก็บนาน เช่น อาหารแช่แข็ง สมุนไพร หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
    ข้อควรระวัง   การใช้เครื่องซีลที่มีความร้อน อาจต้องดูอุณหภูมิที่เหมาะสมกับความหนาของถุงพลาสติกว่าเพียงพอหรือไม่ หากใช้อุณหภูมิที่สูงเกินไปรอยซีลถุงอาจเกิดละลาย เป็นตามดได้
    สรุปคำแนะนำ  ถ้าต้องการความเรียบร้อยและปลอดภัย การซีลด้วยความร้อน คือทางเลือกที่แนะนำที่สุด โดยเฉพาะกับของกิน หรือของที่ต้องเก็บไว้นาน

การปิดปากถุงด้วยเทปกาวแบบเปิดปิดบ่อย ใช้งานได้รวดเร็ว การม้วนพลาสติกด้วยการมัดปากถุง

ระบบลมภายในโรงงานผลิตถุงพลาสติก

ในกระบวนการผลิตถุงพลาสติกแบบ Blown Film Extrusion ของโรงงานถุงพลาสติก ไทยฮง จำเป็นต้องมีแรงดันลมในการผลิตในทุกๆขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการใส่แรงดันอากาศเพื่อให้ลูกโป่งพลาสติกขยายตัวจนได้ขนาดที่ต้องการ การใช้จานลมเป่าพลาสติกให้เย็นตัว หรือแม้แต่ในขั้นตอนตัดถุงพลาสติกที่มีการเจาะรูและเจาะหูหิ้วรูปแบบต่างๆ และยังรวมไปถึงอุปกรณ์กระบอกลม (Air Cylinder) ทุกตัวในโรงงานผลิตถุงพลาสติก

ดังนั้น บริษัท ไทยฮง พลาสติก อินดัสทรี จำกัด จึงได้ให้ทีมวิศวกรจากบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านระบบแรงดันลมในระดับอุตสาหกรรม ทำการออกแบบและติดตั้งอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมกับการใช้งานในสภาพหน้างานจริง

ระบบ Auto Drain น้ำและความชื้นในระบบแรงดันลมจำนวน 4 ชุดของโรงงานผลิตถุงพลาสติก

ระบบ Auto Drain จำนวน 4 ชุด

ระบบลมของบริษัท ไทยฮง พลาสติก อินดัสทรี จำกัด มีการติดตั้งระบบ Auto Drain จำนวน 4 ชุดตามจุดต่างๆที่ออกแบบโดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านระบบลมในงานอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใต้ถังแรงดันขนาด 1000 ลิตร และตามไส้กรองอากาศทั้ง 3 ตัว เพื่อลดการเกิดสนิมในระบบท่อลมทั้งหมดและลดภาระให้เครื่องทำลมแห้ง

โรงงานถุงพลาสติกไทยฮง มีการติดตั้งไส้กรองในระบบแรงดันลม โดยไส้กรองตัวนี้เป็นการกรองฝุ่นละอองที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 ไมครอน

ระบบกรองอากาศระดับ 3 ไมครอน

แรงดันลมที่จะถูกจ่ายเข้าไปในสายการผลิตของโรงงานผลิตถุงพลาสติก จะถูกกรองด้วยไส้กรองขั้นแรกที่มีความสามารถในการกรองฝุ่นละอองและสิ่งเจือปนที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 ไมครอน ก่อนที่จะต่อเข้ากับเครื่องทำลมแห้ง(Air Dryer)

หลังจากผ่านการกรองแบบหยาบจะเข้าสู่กระบวนการกรองแบบละเอียดที่ขนาด 1 ไมครอนและ 0.1 ไมครอนตามลำดับ ก่อนที่จะส่งเข้าสู่การผลิตถุงพลาสติก

ระบบกรองอากาศระดับ 1 ไมครอนและ 0.1 ไมครอน

หลังจากที่อากาศได้ผ่านเครื่องทำลมแห้งเพื่อแยกความชื้นภายในอากาศออกแล้ว ก่อนที่จะถูกส่งเข้าไปในระบบท่อลมหลักของโรงงานถุงพลาสติก จะมีการผ่านไส้กรองแบบละเอียดที่มีความสามารถในการกรองฝุ่นละอองขนาดใหญ่กว่า 1 ไมครอนและตามด้วยไส้กรองระดับ 0.1 ไมครอน เพื่อให้ได้แรงดันลมที่มีคุณสมบัติดังนี้

  • เป็นลมที่ปราศจากละอองน้ำมัน(Oil free air)
  • แรงดันลมที่สะอาด ไม่มีฝุ่นละอองขนาดใหญ่กว่า 0.1 ไมครอน
  • ความชื้นภายในแรงดันลมต่ำ

จากคุณสมบัติของอากาศข้างต้นที่ใช้ในโรงงานไทยฮง พลาสติก อินดัสทรี ทำให้สามารถผลิตถุงพลาสติกได้อย่างมีคุณภาพ สะอาด สามารถใช้เป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับบรรจุอาหารและยาได้ และนอกจากนี้ยังเป็นการถนอมและยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆในโรงงาน เพื่อให้ทางบริษัทมีต้นทุนในการซ่อมบำรุงที่ต่ำ สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันในตลาดได้

พลาสติกเบอร์ 4 (LDPE) คืออะไร

รูปบอร์ดแสดงประเภทพลาสติกวางอยู่ในโรงงาน

เมื่อพูดถึงพลาสติกที่เราพบเห็นในชีวิตประจำวัน หนึ่งในประเภทที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือ พลาสติกเบอร์ 4 หรือ LDPE(Low-Density Polyethylene) ซึ่งเป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติโดดเด่น ทั้งในด้านความยืดหยุ่น ความทนทาน และความปลอดภัยต่อการใช้งานหลายรูปแบบ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์

LDPE คืออะไร?
LDPE(Low-Density Polyethylene) เป็นพลาสติกประเภทโพลีเอทิลีนความหนาแน่นต่ำ ซึ่งมีลักษณะนิ่ม ยืดหยุ่นดี และมีน้ำหนักเบา พลาสติกชนิดนี้ถูกจัดอยู่ในประเภท “เบอร์ 4” ตามระบบรหัสรีไซเคิลของพลาสติก

ด้วยคุณสมบัติพิเศษของ LDPE จึงเหมาะสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความบาง ยืดหยุ่น และทนความชื้น เช่น ฟิล์มห่ออาหาร ถุงหูหิ้ว ถุงแช่แข็ง

คุณสมบัติของ LDPE
✅ ยืดหยุ่นสูง – ไม่ฉีกขาดง่าย รองรับแรงดึงและแรงกดได้ดี

✅ ทนความชื้น – ไม่ดูดซับน้ำ เหมาะกับบรรจุภัณฑ์หรือการใช้งานกลางแจ้ง

✅ ทนต่อสารเคมีบางชนิด – เช่น กรด-ด่างอ่อน

✅ น้ำหนักเบา – ง่ายต่อการขนส่งและขึ้นรูป

✅ ปลอดภัยต่ออาหาร (เกรด A) – นิยมใช้ในถุงบรรจุอาหารหรือฟิล์มห่อ

✅ สามารถรีไซเคิลได้ (รหัสรีไซเคิลเลข 04) – เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าพลาสติกบางชนิด

ใช้ทำอะไรได้บ้าง?
LDPE นิยมใช้ผลิตสินค้าในชีวิตประจำวัน เช่น:

  • ถุงพลาสติกหูหิ้ว
  • ฟิล์มยืดห่ออาหาร
  • ถุงใส่อาหารแช่เย็น
  • ถุงซิปล็อก
  • ถุงใส่ของใช้

สิ่งแวดล้อมและการรีไซเคิลพลาสติก
พลาสติกเบอร์ 4 สามารถนำกลับไปรีไซเคิลได้ แต่ควรแยกประเภทขยะอย่างถูกวิธี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระบบจัดการขยะในพื้นที่ด้วย การเลือกใช้ LDPE ที่สามารถรีไซเคิลได้จึงถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในเชิงสิ่งแวดล้อม

สรุป
พลาสติกเบอร์ 4 หรือ LDPE เป็นวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูง ใช้งานง่าย และเหมาะกับหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์ อาหาร ไปจนถึงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังสามารถนำไปรีไซเคิลได้ ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว

หากคุณกำลังมองหาวัสดุ LDPE คุณภาพดีสำหรับการผลิตหรือใช้งานในธุรกิจของคุณ ไทยฮง พร้อมให้คำปรึกษาและจัดจำหน่ายพลาสติก LDPE หลากหลายเกรดในราคายุติธรรม

ถุงรองกล่องโฟมสำหรับปลูกผักไฮโดรโปนิกส์

การปลูกผักจะง่ายขึ้น หากใช้ถุงรองกล่องโฟม

หัวใจหลักของการใช้ถุงรองกล่องโฟมสำหรับปลูกผักไฮโดรโปนิกส์นั้น เพื่อให้การดูแลเปลี่ยนน้ำทำความสะอาดได้ง่าย
และยืดอายุการใช้งานของกล่องโฟม ไม่ให้เกิดเชื้อรา ทั้งนี้ ผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะมักเรียกถุงเหล่านี้ว่าถุงกล่องกุ้ง หรือถุงกล่องปลา
ซึ่งเป็นขนาดของกล่องโฟมที่ทางผู้ใช้งานเลือกใช้ในการปลูกแปลงผักนั่นเอง…

ถุงรองกล่องโฟมสีดำสำหรับปลูกผักไฮโดรโปนิกส์

ข้อแนะนำการใช้ถุงรองกล่องโฟมสำหรับปลูกผักไฮโดรโปนิกส์

  • ควรเลือกเป็นพลาสติกเกรดอาหาร  เพราะจะกันน้ำ ไม่รั่วซึม ทนต่อการใช้งานกลางแจ้ง
  • ควรเลือกใช้ถุงที่ขนาดพอดีกับกล่องโฟม ลดการเคลื่อนตัวของพลาติก (สามารถคำนวณขนาดถุงรองในกล่อง)

เลือกถุงรองกล่องแบบไหนดี? สีดำหรือสีฟ้า

ถุงสีดำ จะเหมาะกับการใช้งานทั่วไป เพราะช่วยกันแสงได้ดี ลดการเกิดสาหร่ายในน้ำ และช่วยให้ยืดอายุของกล่องโฟม ให้ใช้งานได้นาน แต่ข้อเสียคือจะดูมืด ไม่ค่อยสะอาดตาสักเท่าไหร่

 ถุงสีฟ้า เหมาะกับฟาร์มที่ต้องการให้ภาพลักษณ์ดูสะอาด เช่น ฟาร์มออแกนิกหรือโรงเรือนที่เปิดให้ลูกค้าเลือกซื้อได้ เพราะถุงสีฟ้า ดูสว่าง สะอาด สามารถเห็นคราบสิ่งสกปรกได้ง่าย แต่ข้อเสียอาจจะกันแสงได้ไม่สนิท อาจต้องหาวิธีลดแสงร่วมด้วย เช่น สั่งผลิตถุงที่เพิ่มแม่สีให้สีทึบยิ่งขึ้น

ถุงรองกล่องโฟมสีดำสำหรับปลูกแปลงผัก

หากสนใจสั่งผลิตถุงรองกล่องโฟมสามารถติดต่อเราได้ที่ @thaihong หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประเมินราคาถุงรองกล่องได้ค่ะ

การควบคุมความหนาระหว่างการผลิตถุงพลาสติก

การใช้อุปกรณ์ไมโครมิเตอร์เป็นหนึ่งในวิธีที่สะดวกและได้ค่าความหนาทันทีขณะที่ทำการวัดความหนาระหว่างการผลิตถุงพลาสติก

วิธีการควบคุมความหนาระหว่างการผลิตถุงพลาสติกด้วยไมโครมิเตอร์

การวัดความหนาฟิล์มพลาสติกด้วยไมโครมิเตอร์เป็นวิธีที่ง่ายและสามารถอ่านค่าความหนาได้ทันทีขณะที่กำลังทำการตรวจสอบ ซึ่ง 1 ช่องบนไมโครมิเตอร์จะเท่ากับ 0.01 mm หรือ 10 ไมครอน ซึ่งทางโรงงานผลิตถุงพลาสติก ไทยฮง เลือกใช้อุปกรณ์ไมโครมิเตอร์ที่ได้มาตรฐาน ยี่ห้อ Teclock ผลิตที่ประเทศญี่ปุ่น พร้อมเอกสารรับรองการสอบเทียบ แต่วิธีนี้จะมีข้อจำกัดที่อาจจะทำให้เกิดความเคลื่อนระหว่างการผลิตได้แก่

ข้อจำกัดของการใช้ไมโครมิเตอร์

  • ระยะในการวัดความหนาของไมโครมิเตอร์ลึกสุด 12 cm ในกรณีที่ฟิล์มพลาสติกมีขนาดใหญ่กว่านั้นจะทำให้อุปกรณ์เข้าไปถึงทุกจุด
  • ฟิล์มพลาสติกไม่มีความเรียบ โดยเฉพาะการผลิตฟิล์มพลาสติกเกรดรีไซเคิล
  • ระหว่างการผลิตถุงพลาสติกจะมีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา อาจจะทำให้อ่านค่าผิดพลาดได้ง่าย
การใช้งานเครื่องชั่งความละเอียดสูงสำหรับตรวจสอบน้ำหนักของถุงพลาสติกระหว่างการผลิตเพื่อควบคุมความหนา

วิธีการใช้เครื่องชั่งความละเอียดสูงในการควบคุมความหนา

จากข้อจำกัดข้างต้นของอุปกรณ์ไมโครมิเตอร์ ทางโรงงานผลิตถุงพลาสติก ไทยฮง ได้มีการออกแบบและพัฒนากระบวนการตรวจสอบคุณภาพของถุงพลาสติกเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าจะได้ถุงพลาสติกที่ได้มาตรฐานตรงตามความต้องการ ถุงไม่หนาและบางจนเกินไป โดยการใช้เครื่องชั่งความละเอียดสูงแบบดิจิตัล ที่หน่วยการแสดงผลเป็นกรัม และมีความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 0.1 กรัมโดยวิธีการควบคุมความหนาของการผลิตถุงพลาสติกชั่งน้ำหนักจะอาศัยหลักการความหนาแน่นของพลาสติก Polyethylene ที่ 0.920 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ประกอบกับการนำถุงพลาสติกมาคำนวณหาปริมาตรที่แท้จริง

ตัวอย่างการคำนวณปริมาตรและน้ำหนักของถุงพลาสติก

ยกตัวอย่างเช่น ถุงพลาสติก LDPE ขนาดกว้าง 50 cm X ยาว 120 cm และความหนา 0.15 mm/คู่
  1. คำนวณหาปริมาตรโดยการคูณ 50 X 120 X 0.15/10 = 90 cm³ 
  2. ตรวจสอบความหนาแน่นของพลาสติก ในกรณี LDPE ความหนาแน่นเท่ากับ 0.920 g/cm³
  3. คำนวณน้ำหนักที่ควรจะเป็นโดยการคูณความหนาแน่นกับปริมาตรที่คำนวณได้ 90 X 0.920 = 82.8 กรัม
  4. ทำการเปรียบเทียบน้ำหนักที่คำนวณได้และน้ำหนักที่ชั่งได้จริง
  5. ทำการปรับความหนาระหว่างผลิตและทำการตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง

วิธีผลิตถุงพลาสติกแบบมีสี

การเป่าม้วนพลาสติกแบบผสมแม่สี

การผลิตถุงพลาสติกแบบถุงสีทั้งใบ

ในอุตสาหกรรมพลาสติก ถุงพลาสติกแบบถุงสีใบได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพื่อเพียงแค่ความสวยงาม แต่ยังตอบโจทย์ด้านการใช้งาน เช่น ปิดบังสินค้า  การแยกประเภทของสินค้า หรือเพิ่มความดึงดูดใจให้กับตัวสินค้า

แม่สีเม็ดพลาสติกส่วนประกอบหลักในการถุงสีทำใบ

ขั้นตอนการผลิตถุงพลาสติกแบบถุงสีทั้งใบ

  1. การเลือกเม็ดพลาสติก
    โดยปกติการผลิตถุงจะเริ่มต้นจากเม็ดพลาสติกประเภท HDPE หรือ LDPE ซึ่งในกรณีถุงสี จะมีการเติมเม็ดสีหรือที่เรียกว่า Color Masterbatch ลงไปผสมกับเม็ดพลาสติกใสในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้สีนั้นออกมาสม่ำเสมอทั่วทั้งเนื้อพลาสติก
  2. กระบวนการเป่าม้วนพลาสติก
    เมือเม็ดพลาสติกที่ผสมเข้ากันดีเรียบร้อยแล้วจะนำไปเทเข้าสู่เครื่องเป่าม้วนพลาสติก เมื่อความร้อนทำให้เม็ดพลาสติกละลาย เครื่องจะเป่าพลาสติกเป็นลูกโป่งออกมาเป็นหลอดพลาสติก ซึ่งในระหว่างนี้จะควบคุมการแต่ง หน้ากว้างของพลาสติก และความหนาของพลาสติก ให้เหมาะสมกับการใช้งานตามความต้องการของลูกค้า
  3. การตัดถุงและซีลก้นถุง
    หลังจากได้ม้วนพลาสติกสีมาแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการตัดให้ได้ความยาวที่ต้องการ และทำการซีลก้นถุงตามรูปแบบ เช่น ถุงหูหิ้ว ถุงหูเจาะ เป็นต้น
  4. การควบคุมคุณภาพ
    ก่อนจัดส่งสินค้า ทางเราจะมีการตรวจสอบในเรื่อง ขนาด สี ความหนา และการซีลก้นถุง ว่าตรงตามมาตรฐานหรือไม่ งานถุงสีที่ไม่ได้คุณภาพ เช่น สีไม่สม่ำเสมอ ขนาดไม่ได้มาตรฐาน จะถูกคัดแยกออกจากสายการผลิต

ถุงสีทั้งใบที่ใช้เม็ดสีลาสติกเป็นวัตุถิบในการผลิต

มั่นใจทุกงานพิมพ์ ไม่มีการผสมสีหน้างาน

รูปถังสีวางอยู่ในไลน์ผลิต จำนวน 5 ถัง วางอยู่หน้าเครื่องพิมพ์สี

ไทยฮงสั่งสีเบอร์ตรงจากผู้ผลิตเท่านั้น

ในวงการบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์บนถุงพลาสติก การควบคุมคุณภาพ “สี” เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการสร้างแบรนด์และความประทับใจแรกของลูกค้า หากสีพิมพ์ไม่แม่นยำ ไม่สม่ำเสมอ หรือเปลี่ยนไปแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้อย่างมหาศาล

ด้วยเหตุนี้เอง ไทยฮงจึงยึดมั่นในมาตรฐานการควบคุมสีอย่างเข้มงวด ด้วยนโยบายที่ชัดเจน: “ไม่มีการผสมสีพิมพ์ที่หน้างานโดยเด็ดขาด” แต่จะ สั่งสีสำเร็จรูป (สีเบอร์ตรง) โดยตรงจากผู้ผลิตที่ได้รับมาตรฐาน เท่านั้น


เหตุผลที่ไทยฮงเลือกใช้สีเบอร์ตรงจากผู้ผลิตโดยไม่ผสมเอง

1. แม่นยำทุกครั้ง ไม่เสี่ยงต่อความคลาดเคลื่อน

การผสมสีที่หน้างานมักมีโอกาสคลาดเคลื่อน แม้จะใช้สูตรเดิม วัตถุดิบชนิดเดิม ก็ยังเกิดความต่างในเฉดสีได้จากหลายปัจจัย เช่น อุณหภูมิ ความชื้น หรือแม้แต่ความชำนาญของพนักงาน แต่เมื่อไทยฮงสั่งสีเบอร์ตรงจากผู้ผลิต สีที่ได้จะคงที่ในทุกล็อต มีความแม่นยำระดับ Delta E ต่ำกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรม

2. สร้างความเชื่อมั่นให้แบรนด์ลูกค้า

หลายแบรนด์ระดับประเทศไว้วางใจให้ไทยฮงผลิตถุงบรรจุภัณฑ์ ด้วยเหตุผลสำคัญคือ “สีไม่เพี้ยน” ซึ่งมีผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์โดยตรง การที่ไทยฮงเลือกใช้สีสำเร็จจากผู้ผลิตจึงช่วยให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าทุกงานที่ได้รับจะตรงกับแบรนด์ไกด์ไลน์ 100%

3. ลดเวลาและต้นทุนความผิดพลาด

การผสมสีเองต้องมีการทดสอบ เทียบเฉด และบันทึกข้อมูลซ้ำๆ หากเกิดความผิดพลาดอาจต้องหยุดไลน์ผลิตหรือทิ้งงานพิมพ์บางส่วนไป แต่การใช้สีเบอร์ตรงที่ผ่านการควบคุมจากต้นทาง ลดขั้นตอนดังกล่าวทั้งหมด ทำให้กระบวนการผลิตของไทยฮง รวดเร็ว แม่นยำ และต้นทุนคงที่


แนวทางควบคุมคุณภาพสีของไทยฮง

  • ทุกคำสั่งผลิตจะมีการอ้างอิงเบอร์สีเฉพาะ พร้อมใบรับรองจากผู้ผลิต

  • พนักงานในไลน์ผลิตมีการอบรมความเข้าใจเรื่องการพิมพ์และการควบคุมสีอย่างต่อเนื่อง

  • มีการบันทึกค่าความคลาดเคลื่อนในแต่ละล็อต และทำการเทียบกับมาตรฐานก่อนอนุมัติส่งมอบ

วิธีวัดความหนาของถุงพลาสติก

การวัดความหนาของถุงพลาสติกถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญมากในกระบวนการควบคุมคุณภาพ เพราะความหนาของถุงจะมีผลต่อความทนทาน ความยืดหยุ่น และแม้กระทั่งต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ผลิตโดยตรง ในโรงงานทั่วไป เรามักใช้เครื่องมือหลักๆ อยู่ 2 ประเภท แล้วแต่ความละเอียดและมาตรฐานที่ต้องการ

รูปภาพเครื่อง Micrometer แบบ Mechanical หรือ Digital


1. อุปกรณ์ Thickness gauge หรือ Micrometer

เครื่อง Micrometer แบบ Mechanical หรือ Digital

  • ใช้หลักการวัดความหนาระหว่างของทั้ง 2 ด้าน(ความหนาต่อคู่)

  • ความแม่นยำสูง (โดยเฉพาะรุ่นที่ละเอียดถึง 0.001 มม.)

  • เหมาะสำหรับการวัดจุดเฉพาะ แนะนำให้วัดอย่างน้อย 3 จุด แล้วเฉลี่ยออกมา

วิธีวัด:

  1. วางถุงพลาสติกให้เรียบสนิทบนพื้น หรือบนโต๊ะ

  2. ใช้เครื่อง Micrometer กดที่ถุงเบาๆ (ไม่กดจนยุบ)

  3. อ่านค่าจากหน้าปัด (Mechanical) หรือหน้าจอ (Digital)

ข้อดี:

  • มีความแม่นยำ

  • ใช้ได้กับถุงหลายชั้น

เครื่อง Thickness Tester
เครื่อง Thickness Tester

2. เครื่อง Thickness Tester เฉพาะทาง (ASTM D6988, ISO 4593)

หากต้องการความแม่นยำระดับมาตรฐานสากล (เช่น ในห้องแล็บ QC ของโรงงาน):

  • เครื่องวัดจะมีหัวสัมผัสแรงกดตามมาตรฐาน เช่น 2 N หรือ 1 N
  • สามารถตั้งค่าและควบคุมแรงกด ความเร็ว และตำแหน่งการวัดได้
  • นิยมวัด 5 หรือ 10 จุดเฉลี่ยเพื่อลดค่าคลาดเคลื่อน

หน่วยของความหนา

ถุงพลาสติกมักวัดความหนาเป็น ไมครอน (micron) หรือ มิลลิเมตร (mm) หรือในบางประเทศใช้ หน่วยมิล (mil) (1 mil = 25.4 micron)

คำแนะนำเพิ่มเติม

  • ควรวัดหลายจุด (กลางถุง มุม ขอบ) เพื่อให้ได้ค่าเฉลี่ยที่แท้จริง

  • หลีกเลี่ยงการวัดบริเวณมีลอนหรือรอยพับ

  • ใช้แผ่นตัวอย่างจากม้วนพลาสติก (ก่อนตัดเป็นถุง) เพื่อเทียบมาตรฐาน

    📌 เคล็ดลับจากโรงงาน

    • อย่าวัดบนถุงที่ยังมีรอยพับเด็ดขาด! เพราะค่าจะเพี้ยน

    • ถ้าถุงมีรอยปั๊ม/ซีล ควรหลีกเลี่ยงบริเวณนั้น

    • ควรวัดหลายจุด เช่น กลาง มุมซ้าย มุมขวา แล้วเฉลี่ยออกมา

    • หากใช้ฟิล์มม้วน (ก่อนตัดเป็นถุง) แนะนำให้ตัดชิ้นตัวอย่างออกมาวัดดีกว่า

ค่า MD – TD ของถุงพลาสติก คืออะไร

ทฤษฎีแรงต้านทานและการดึงของพลาสติก

ความหมายของค่า MD – TD ในถุงพลาสติก

เรามักจะได้ยินเวลาพูดถึงคุณสมบัติของถุงพลาสติก ทำไมถึงมีคำว่า MD กับ TD อยู่เสมอ เราจะมาคำตอบไปด้วยกัน….
ในอุตสาหกรรมการผลิตถุงพลาสติก พลาสติกที่ได้จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันระหว่าง 2 ทิศทางหลัก คือ MD และ TD

MD ย่อมาจาก Machine Direction คือ ทิศทางตามแนวเครื่องจักร หรือแนวยาวของม้วนพลาสติก

TD ย่อมาจาก Transverse Direction คือ ทิศทางขวาง หรือตั้งฉากกับแนวการผลิต หรือแนวกว้างของพลาสติก

ค่า MD (Machine Direction) และ TD (Transverse Direction) ของถุงพลาสติก เป็นการระบุทิศทางของการวัดคุณสมบัติของพลาสติก โดยเฉพาะในการทดสอบความแข็งแรง การยืดตัว หรือแรงดึง
ตัวอย่างผลทดสอบแรงต้านทานและการฉีกขาดของพลาสติกปูพื้นก่อนเทคอนกรีต

เครื่องทดสอบแรงดึงหรือแรงยืดของพลาสติก

เครื่องในภาพคือ เครื่องทดสอบแรงดึง (Tensile Testing Machine) หรือที่เรียกว่า Motorized Test Stand ซึ่งใช้สำหรับทดสอบแรงทางกล เช่น แรงดึง (Tensile), แรงกด (Compression), แรงเฉือน (Shear) ของวัสดุหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เส้นด้าย เส้นใย เชือก เทป ฯลฯ

ส่วนประกอบหลักของเครื่อง

  1. หัวจับ (Gripper/Clamp):

    • ใช้ยึดตัวอย่างไว้ทั้งด้านบนและด้านล่าง

    • หัวบนเชื่อมกับโหลดเซลล์ (Load Cell) สำหรับวัดแรง

    • หัวล่างติดอยู่กับแท่นที่เคลื่อนที่ขึ้นลงด้วยมอเตอร์

  2. โหลดเซลล์ (Load Cell) + Digital Display:

    • ส่วนนี้จะแสดงค่าของแรงที่ใช้กับตัวอย่าง (เช่น N หรือ kgf)

    • ใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับแรงแล้วแสดงผลบนหน้าจอ

  3. ปุ่มควบคุมการทำงาน (Control Panel):

    • เช่น ปุ่ม UP / DOWN สำหรับเคลื่อนหัวจับ

    • ปุ่ม STOP เพื่อหยุดการเคลื่อนที่

    • ปุ่มโหมดการทำงาน Manual/Auto

  4. หน้าจอแสดงค่าแรง (Force Display):

    • แสดงแรงสูงสุดหรือปัจจุบันที่เกิดขึ้นกับตัวอย่างในหน่วยต่างๆ

  5. สายทดสอบ/ตัวอย่าง:

    • ตัวอย่างที่ทดสอบในภาพคือเส้นด้ายหรือเส้นใยหลายเส้น ผูกมัดและหนีบไว้ระหว่างหัวจับ

หลักการทำงาน

  1. เตรียมชิ้นงาน:

    • ตัดชิ้นงานให้ได้ขนาดตามมาตรฐาน

    • หนีบไว้ระหว่างหัวจับด้านบนและด้านล่างให้แน่น

  2. ตั้งค่าการทดสอบ:

    • เลือกโหมด Manual หรือ Auto

    • ตั้งค่าความเร็วในการเคลื่อนที่ (บางรุ่นสามารถตั้งความเร็วได้)

  3. เริ่มการทดสอบ:

    • กดปุ่ม “UP” หรือ “DOWN” เพื่อเริ่มการเคลื่อนหัวจับให้ดึงหรือกดตัวอย่าง

    • ตัวอย่างจะถูกดึงจนขาดหรือเสียรูป

  4. อ่านค่าแรง:

    • ค่าแรงที่จำเป็นในการดึงจนขาดจะแสดงบนจอ

    • บันทึกค่าสูงสุดเพื่อวิเคราะห์สมบัติเชิงกล

การใช้งานทั่วไป

  • ทดสอบแรงดึงของเส้นด้าย/เส้นใย/เชือก

  • ตรวจสอบคุณภาพการผลิตสินค้าที่ต้องรับแรง

  • วิจัยสมบัติเชิงกลของวัสดุใหม่

  • ใช้ในงาน QC (ควบคุมคุณภาพ)