ถุงพลาสติกแบบ 2 Layer คืออะไร

ภายในเครื่องจะมี เกลียวและถังหลอมพลาสติกสองชุด ทำงานแยกกัน

ถุงพลาสติกแบบ 2 Layer หรือ “ถุงสองชั้น” เป็นถุงที่ผลิตด้วยกระบวนการเป่าฟิล์มโดยใช้เครื่องที่มีหัวเป่าสองชั้น (Blown Film Extrusion) ภายในเครื่องจะมี เกลียวและถังหลอมพลาสติกสองชุด ทำงานแยกกัน แต่ประสานกันอย่างแม่นยำในการผลิต แต่ละชุดจะหลอมเม็ดพลาสติกคนละสูตร ก่อนจะเป่ารวมกันจนได้ฟิล์มที่มีสองชั้นซ้อนแนบกันสนิท

จุดเด่นของถุงชนิดนี้คือสามารถเลือกใช้สูตรเม็ดพลาสติกต่างกันระหว่าง ด้านในกับด้านนอกของถุง ได้ เช่น ด้านนอกอาจใช้เม็ดที่ให้ความมันวาว ป้องกันไฟฟ้าสถิต หรือเพิ่มความแข็งแรง ส่วนด้านในอาจเลือกเม็ดที่ช่วยกันฝ้า หรือทำให้ซีลง่ายขึ้น การผลิตแบบนี้ต้องใช้เครื่องเป่าที่ออกแบบพิเศษ มีทั้งสกรูหลอมและถังเม็ดพลาสติกสองชุด ซึ่งจะป้อนวัตถุดิบแยกกันก่อนเข้าสู่หัวเป่าเพื่อรวมเป็นชั้นฟิล์มเดียว


ถังเป่าเม็ดพลาสติกจะแยกออกเป็น 2 ถัง ในการแต่งเติมเม็ดพลาสติกซึ่งแยกออกเป็นด้านในกับด้านนอกของถุง การผลิตแบบ 2 ชั้นทำให้สามารถใส่สารเติมแต่ง เฉพาะในส่วนที่จำเป็น เช่น สีดำไว้เฉพาะด้านในถุง หรือสีขาวเฉพาะด้านนอกถุง

ประโยชน์ของถุงพลาสติกแบบ
2 Layer

ถุงสองชั้นเป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ เพราะให้ทั้งความสวยงามและความคุ้มค่าในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างของข้อดีมีดังนี้

  • ปรับคุณสมบัติได้ตามการใช้งาน
    ผู้ผลิตสามารถเลือกสีหรือสารเติมแต่งให้เหมาะกับสินค้า เช่น ถุงสีขาว–ดำ หรือดำ–เงิน ที่ช่วยกันแสงและให้ภาพลักษณ์เรียบหรู ใช้กับสินค้าที่ต้องการความพรีเมียมได้ดี

  • ช่วยลดต้นทุนการผลิต
    การผลิตแบบ 2 ชั้นทำให้สามารถใส่ สารเติมแต่ง (Master Batch) เฉพาะในส่วนที่จำเป็น เช่น เม็ดกันฝ้าไว้เฉพาะด้านใน หรือเม็ดกันไฟฟ้าสถิตเฉพาะด้านนอก วิธีนี้ช่วยลดการใช้วัตถุดิบราคาแพงโดยยังคงคุณสมบัติครบถ้วน

  • เพิ่มความแข็งแรงและความทนทาน
    เนื้อฟิล์มสองชั้นยึดกันแน่น ทำให้ถุงไม่ขาดง่าย ผิวเรียบเนียนและดูมีคุณภาพ เหมาะกับสินค้าที่ต้องการบรรจุภัณฑ์ที่แข็งแรงและดูดีในเวลาเดียวกัน


ไทยฮง – ผู้เชี่ยวชาญด้านถุงพลาสติก 2 Layer

บริษัท ไทยฮง เป็นผู้ผลิตถุงพลาสติกที่มีความชำนาญในการผลิตฟิล์มแบบ 2 ชั้นโดยเฉพาะ ปัจจุบันมี เครื่องเป่าถุงพลาสติกแบบ 2 Layer ทั้งหมด 4 เครื่อง ซึ่งสามารถรองรับการผลิตได้หลายรูปแบบ ทั้งฟิล์มสีขาว–ดำ สีดำ–เงิน หรือสูตรพิเศษอื่น ๆ ตามความต้องการของลูกค้า

ไทยฮงใส่ใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดสรรเม็ดพลาสติก การปรับสูตร การควบคุมอุณหภูมิ ไปจนถึงการตรวจสอบคุณภาพก่อนส่งมอบสินค้าให้ลูกค้า ถุงพลาสติกจากไทยฮงจึงมีความแข็งแรง เนื้อฟิล์มเรียบ และได้มาตรฐาน เหมาะกับผู้ประกอบการที่ต้องการบรรจุภัณฑ์คุณภาพสูงในราคาที่คุ้มค่า

พลาสติกปูพื้นสีดำเงินใช้ในการเพาะปลูกโดยที่ปูสีดำไว้กับพื้นดิน เพื่อป้องกัน UV และเอาสีเงินไว้ด้านบนเพื่อสะท้อนแสง UV

การเจาะรูระบายอากาศบนถุงพลาสติก

ถุงพลาสติกเนื้อ HDPE สีเหลือง เจาะรูระบายอากาศ สำหรับรองในลังบรรจุผลไม้
ถุงพลาสติกถือเป็นวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ทั้งในอุตสาหกรรมอาหาร เสื้อผ้า และสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป หนึ่งในเทคนิคที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานของถุงพลาสติกคือ “การเจาะรูระบายอากาศ” ซึ่งเป็นขั้นตอนเล็ก ๆ แต่มีความสำคัญอย่างมากต่อคุณภาพของสินค้าและความปลอดภัยของผู้ใช้

ประโยชน์ของการเจาะรูบนถุงพลาสติก นั้นมีหลายประการ อันดับแรกคือช่วย “ระบายอากาศและความชื้น” ภายในถุง ทำให้สินค้าภายในไม่อับหรือเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหารสด ผัก หรือผลไม้ นอกจากนี้ยังช่วย “ป้องกันการควบแน่นของไอน้ำ” ที่อาจทำให้เกิดเชื้อรา หรือความเสียหายต่อสินค้าได้ อีกทั้งการเจาะรูยังช่วย “ลดความเสี่ยงจากการขาดอากาศหายใจ” ในกรณีที่เด็กเล็กนำถุงมาครอบศีรษะ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายโรงงานให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง

ที่ โรงงานไทยฮง เรามีบริการ “เจาะรูตามสั่ง” สำหรับลูกค้าที่ต้องการถุงพลาสติกที่เหมาะสมกับการใช้งานเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็น รูแบบกลมขนาด 5 มิลลิเมตร 8 มิลลิเมตร ไปจนถึง 2.5 เซนติเมตร, รูแบบเครื่องหมายบวก (+) หรือแม้แต่ ช่องลมบริเวณก้นถุง ซึ่งช่วยให้ถุงไม่พองลมขณะบรรจุสินค้า โรงงานไทยฮงใช้เครื่องจักรคุณภาพสูงในการเจาะรูทุกประเภท เพื่อให้ได้รูที่เรียบคม สม่ำเสมอ และไม่ทำให้โครงสร้างของถุงเสียหาย

การเจาะรูระบายอากาศจึงไม่ใช่เพียงแค่การเพิ่มรูเล็ก ๆ บนถุงพลาสติก แต่เป็นการออกแบบที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของสินค้า เพิ่มความปลอดภัย และตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรมได้อย่างครบถ้วน โรงงานไทยฮงพร้อมให้คำแนะนำและผลิตงานตามแบบที่ลูกค้าต้องการด้วยคุณภาพที่มั่นใจได้ในทุกขั้นตอน

สินค้าของโรงงานไทยฮงทุกชิ้น มาพร้อมป้าย QR Code เพื่อความมั่นใจสูงสุดของลูกค้า

สินค้าของโรงงานไทยฮงทุกชิ้น มาพร้อมป้าย QR Code เพื่อความมั่นใจสูงสุดของลูกค้า

ปัจจุบันโรงงานไทยฮงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับคุณภาพและความโปร่งใสของสินค้า ทุกชิ้นงานที่ออกจากโรงงานจึงมาพร้อมกับ ป้าย QR Code มาตรฐานโรงงานไทยฮง ซึ่งภายใน QR Code นี้บรรจุข้อมูลสำคัญไว้อย่างครบถ้วน เช่น

สินค้าที่ผลิตจากโรงงานผลิตถุงพลาสติกไทยฮง ทุกชิ้นจะมีป้ายฉลาก QR Code แปะอยู่เพื่อระบุรายละเอียดของสินค้าและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้

  • รหัสลูกค้า

  • รหัสสินค้า 

  • หมายเลขสินค้า 

  • น้ำหนักที่ผลิตได้

  • หมายเลขการผลิต

  • รวมถึง เลขที่บิลงาน

เมื่อลูกค้าสแกน QR Code จะสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และที่สำคัญคือ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้จนถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตในล็อตใด โรงงานใด หรือแม้กระทั่งวันเวลาที่ทำการผลิตจริง ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นจากไทยฮงมีมาตรฐานและสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน

นอกจากนี้ โรงงานไทยฮงยังไม่หยุดพัฒนาเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพสินค้าให้เหนือมาตรฐานอุตสาหกรรม เราเชื่อว่าความโปร่งใสคือรากฐานของความเชื่อมั่น และ QR Code คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ลูกค้าเห็นถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียดของเรา

ด้วยระบบติดตามข้อมูลที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ ไทยฮงขอให้คำมั่นว่าจะส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพสูงสุด พร้อมสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าทุกคนในทุกขั้นตอนการผลิตอย่างแท้จริง

การพิมพ์ก่อนพับคืออะไร มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร

       การนำถุงพิมพ์โลโก้เข้าเครื่องพับจีบ การพับจีบของถุงพิมพ์ลายหรือถุงพิมพ์สกรีนโลโล้

            การพับจีบถุงหลังจากที่พิมพ์ลวดลายเป็นขั้นตอนที่ช่วยเพิ่มคุณภาพและความสวยงามให้กับบรรจุภัณฑ์อย่างมาก โดยเฉพาะในงานถุงพลาสติก หรือถุงบรรจุสินค้าเกรดพรีเมียม ซึ่งต้องการความละเอียดและความเนียนของลวดลายอย่างสูง

ข้อดีของการพับจีบหลังจากพิมพ์

          ข้อดีที่โดดเด่นที่สุดคือ ลายสกรีนมีความต่อเนื่องและสวยงาม ไม่เกิดรอยขาดหรือบิดเบี้ยวตรงรอยพับจีบ ทำให้สินค้ามีความโดดเด่นและดูเป็นมืออาชีพ นอกจากนี้ยังสามารถ หมุนตำแหน่งลายสกรีนให้เข้าไปในบริเวณจีบได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้ลวดลายเต็มพื้นที่และดูสมบูรณ์แบบมากขึ้น เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และรายละเอียดของสินค้า

ข้อเสียของการพับจีบหลังจากพิมพ์

           อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนนี้มีข้อจำกัดบางประการ เช่น ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น จากกระบวนการพับจีบพิเศษ รวมถึง เวลาในการผลิตที่ยาวขึ้นประมาณ 1-3 วัน เนื่องจากต้องมีการตั้งค่าระบบและตรวจสอบความตรงของลายพิมพ์อย่างละเอียดก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการพับ

เทคโนโลยีจากไทยฮง

         ไทยฮงมีความพร้อมด้านเครื่องจักรที่ทันสมัย โดยเฉพาะ เครื่องพับจีบที่สามารถหมุนตำแหน่งลายสกรีนได้ถึง ±75 องศา ช่วยให้ควบคุมตำแหน่งลายได้อย่างแม่นยำ แม้ในกรณีที่ลายซับซ้อนหรือมีจุดต่อที่ละเอียด เครื่องนี้ช่วยลดความคลาดเคลื่อนและเพิ่มความสวยงามของงานพิมพ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

          ดังนั้น การพับจีบถุงหลังจากพิมพ์จึงเป็นกระบวนการที่เหมาะกับงานที่ต้องการคุณภาพระดับสูง แม้จะมีต้นทุนและเวลาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือบรรจุภัณฑ์ที่ดูสวยงาม คมชัด และสะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างสมบูรณ์แบบในทุกมุมมอง.

พับจีบถุงพิมพ์ลาย-ถุงสกรีนโลโก้

พลาสติก PE (Polyethylene) ใช้เวลาย่อยสลายกี่ปี

ระยะการย่อยสลายของพลาสติก แต่ละชนิด

พลาสติก PE (Polyethylene) ใช้เวลาย่อยสลายกี่ปี? กระบวนการย่อยสลายและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

พลาสติก PE เป็นพลาสติกที่ผลิตมากที่สุดในโลก (พบในถุงหูหิ้ว ฟิล์มห่อ แพ็กเกจจิ้งต่าง ๆ) จุดเด่นคือโครงสร้างโพลีเมอร์สายยาวที่ทนต่อการสลายด้วยจุลินทรีย์ ทำให้เมื่อถูกทิ้งในสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะที่แสงแดดส่องไม่ถึง เช่น หลุมฝังกลบ การย่อยสลายเป็นไปอย่างเชื่องช้าหลายร้อยปี งานทบทวนและการศึกษาหลายชิ้นระบุว่า “เวลา” ที่พลาสติกถุงซึ่งส่วนใหญ่ทำจาก PE จะสลายตัวได้นั้นกว้างมากตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักหลายร้อยปี ขึ้นกับสภาพแวดล้อม โดยในทะเลและแหล่งธรรมชาติทั่วไปมักประเมินเป็น “หลายร้อยปี” ส่วนในหลุมฝังกลบที่ขาดแสง UV อาจยืดออกไปอีกมาก, ขณะที่แหล่งข้อมูลสาธารณะหลายแห่งสรุปตัวเลขเชิงประมาณ เช่น หลายร้อยปีสำหรับชิ้นพลาสติกทั่วไป และช่วงกว้าง 10–1,000 ปีสำหรับถุงบาง ทั้งนี้เป็นค่าประมาณ ไม่ใช่ “เวลาตายตัว” เพราะขึ้นกับแสง UV อุณหภูมิ ออกซิเจน และความชื้นเป็นสำคัญ.

เมื่อถูกทิ้ง กลไกหลักที่ทำให้ PE เสื่อมสภาพคือ “โฟโต–ออกซิเดชัน” (photo-oxidation): หมู่โครโมฟอร์หรือสิ่งปนเปื้อนในเนื้อพลาสติกดูดซับรังสี UV แล้วกระตุ้นปฏิกิริยาออกซิเดชัน เกิดหมู่คาร์บอนิลบนสายโซ่ เกิดการตัดสาย (chain scission) ทำให้พลาสติกเปราะ แตกหัก และแตกตัวเป็นชิ้นเล็กลงเรื่อย ๆ กระบวนการคล้ายกันเกิดได้จากความร้อนและออกซิเจน (thermal-oxidation) ผลลัพธ์คือจากแผ่นหรือชิ้นใหญ่ ๆ ค่อย ๆ กลายเป็นไมโครพลาสติก (≤5 มม.) และนาโนพลาสติก ซึ่งไม่ได้ “หายไป” แต่แค่แตกละเอียดลง.

สำหรับ “การย่อยสลายทางชีวภาพ” ของ PE งานวิชาการสรุปว่าหลักฐานยังจำกัดมาก เมื่อเทียบกับโพลีเมอร์ที่ย่อยสลายได้โดยจุลินทรีย์ประเภทอื่น ๆ แม้มีรายงานความก้าวหน้าด้านจุลินทรีย์/เอนไซม์ และแมลงบางชนิดช่วยย่อยส่วนหนึ่ง แต่ยังอยู่ในระดับวิจัย และยังไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระดับมหภาคในสภาพแวดล้อมจริง.

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่สำคัญคือ “ไมโครพลาสติก” ไหลเวียนในระบบนิเวศทะเล ตั้งแต่ผิวน้ำถึงตะกอนพื้นทะเล สัตว์น้ำกินเข้าไปสะสมในห่วงโซ่อาหาร สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชุมชนชายฝั่ง และปัจจุบันพบไมโครพลาสติกในตัวอย่างร่างกายมนุษย์หลายชนิด (รวมถึงรก) แม้ผลต่อสุขภาพมนุษย์ยังอยู่ระหว่างศึกษา แต่มีความกังวลเรื่องการอักเสบ ความเป็นพิษระดับเซลล์ และสารเคมีที่อาจหลุดออกจากพลาสติก.

สรุป: พลาสติก PE ไม่ได้ “ย่อยสลายหายไป” อย่างรวดเร็ว แต่ค่อย ๆ เสื่อมสภาพจากแสงและออกซิเจน จนแตกตัวเป็นชิ้นเล็กมากและคงอยู่ได้นานตั้งแต่หลายสิบถึงหลายร้อยปีหรือมากกว่านั้นในสภาพไร้แสง กระบวนการนี้ก่อไมโครพลาสติกที่แพร่กระจายไปในระบบนิเวศและอาจกระทบต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อม การลดใช้ ออกแบบเพื่อรีไซเคิล และการจัดการขยะที่ถูกต้อง จึงยังเป็นแนวทางหลักในการลดผลกระทบจาก PE ในปัจจุบัน.

พลาสติก PE (Polyethlene) ทำมาจากอะไร

กระบวนการผลิตพลาสติกผลิตจากการกลั่นน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ

                 พลาสติกโพลีเอทิลีน (Polyethylene หรือ PE) ถือเป็นหนึ่งในวัสดุพลาสติกที่ถูกนำมาใช้มากที่สุดในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ถุงหูหิ้ว บรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงท่อน้ำและอุปกรณ์อุตสาหกรรม กระบวนการผลิตเริ่มต้นจากวัตถุดิบสำคัญ คือ ก๊าซเอทิลีน (Ethylene) ซึ่งได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ

เอทิลีนเป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่มีพันธะคู่ เมื่อนำเข้าสู่เครื่องปฏิกรณ์ที่ออกแบบมาเฉพาะ จะถูกควบคุมด้วย แรงดันสูงและอุณหภูมิที่เหมาะสม กระบวนการนี้เรียกว่า โพลีเมอไรเซชัน (Polymerization) ซึ่งทำให้โมเลกุลเอทิลีนเชื่อมต่อกันเป็นสายยาว กลายเป็นโพลีเมอร์ที่มีคุณสมบัติแข็งแรงและยืดหยุ่น

การใช้แรงดันสูงเพื่อให้ได้พลาสติกที่อ่อนนุ่ม เหมาะสำหรับถุงพลาสติกหรือฟิล์มบรรจุภัณฑ์

                เงื่อนไขของอุณหภูมิและแรงดันในเครื่องปฏิกรณ์มีความสำคัญมาก หากควบคุมไม่ถูกต้อง จะไม่ได้คุณสมบัติที่ต้องการของพลาสติก ตัวอย่างเช่น การผลิต LDPE (Low Density Polyethylene) ต้องใช้แรงดันสูงเพื่อให้ได้พลาสติกที่อ่อนนุ่ม เหมาะสำหรับถุงพลาสติกหรือฟิล์มบรรจุภัณฑ์ ในขณะที่ HDPE (High Density Polyethylene) ผลิตที่แรงดันและอุณหภูมิที่ต่ำกว่า ทำให้ได้พลาสติกที่แข็งแรง เหมาะกับท่อน้ำหรือภาชนะที่ต้องการความทนทาน

             เมื่อกระบวนการโพลีเมอไรเซชันเสร็จสิ้น พลาสติกที่ได้จะถูกนำไปผ่านการทำให้เย็นและแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติก ซึ่งเม็ดเหล่านี้จะเป็นวัตถุดิบสำหรับผู้ผลิตถุง ฟิล์ม แผ่น หรือชิ้นงานพลาสติกชนิดต่าง ๆ ต่อไป

             จากขั้นตอนทั้งหมดจะเห็นว่า พลาสติก PE ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากการควบคุมทางวิศวกรรมและเคมีอย่างละเอียด ตั้งแต่วัตถุดิบก๊าซเอทิลีนจนกลายเป็นเม็ดพลาสติกที่พร้อมใช้งาน จึงไม่น่าแปลกใจที่โพลีเอทิลีนจะกลายเป็นพลาสติกพื้นฐานที่ครองตลาดมากที่สุดในโลก และยังคงถูกพัฒนาให้เหมาะกับการใช้งานที่หลากหลายต่อไป

ตัวอย่างการใช้งานถุงรองถัง 200 ลิตร

ถุงพลาสติกรองในถังขนาด 200 ลิตรถุงพลาสติกรองในถังที่สารเคมีสีเหลือง

ถุงพลาสติกรองถัง HDPE ทางเลือกใหม่ในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

ในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมี สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ ความสะอาด ความปลอดภัย และความคุ้มค่า การใช้ ถุงพลาสติกรองถัง จึงกลายเป็นทางเลือกที่ช่วยให้องค์กรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในขั้นตอนการจัดการสารเคมีที่ต้องอาศัยความรอบคอบและลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อน

ขั้นตอนการใช้งานถุงพลาสติกรองถัง

                เริ่มต้นจากการนำถุงพลาสติกใส่เข้าไปในถังที่ต้องใช้ เมื่อถุงถูกจัดวางอย่างเหมาะสม ผู้ใช้งานสามารถใส่สารเคมีลงไปในถุงได้ทันที จากนั้นจึงเริ่มทำการ Process สารเคมี ตามกระบวนการผลิตหรือการผสมที่กำหนดไว้ เมื่อสารเคมีผ่านขั้นตอนจนเสร็จสมบูรณ์ สามารถถ่ายเทออกจากถุงไปยังบรรจุภัณฑ์อื่นเพื่อจัดเก็บหรือจำหน่ายต่อไป สุดท้ายเมื่อถุงพลาสติกหมดหน้าที่ ก็เพียงแค่ถอดออกและส่งไปทำลายอย่างถูกวิธี ก็พร้อมสำหรับการใช้งานครั้งถัดไปทันที

การใช้ถุงพลาสติกรองถังช่วยให้ลูกค้า ประหยัดต้นทุน ได้หลายด้าน ได้แก่

  • ลดโอกาสการปนเปื้อน เพราะถุงที่ใช้เป็นถุงใหม่ทุกครั้ง ทำให้มั่นใจได้ว่าความสะอาดและคุณภาพของสารเคมีคงที่
  • ประหยัดเวลา เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาล้างถังหลังการใช้งาน ทำให้งานต่อไปเริ่มได้รวดเร็วขึ้น
  • ลดค่าใช้จ่ายในการใช้สารเคมีล้างถัง เช่น Solvent หรือสารทำความสะอาด ซึ่งปกติเป็นต้นทุนที่สูงและต้องใช้อย่างต่อเนื่อง
  • ทั้งหมดนี้ช่วยให้องค์กรไม่เพียงแต่ได้ประโยชน์ด้านการลดค่าใช้จ่าย แต่ยังได้ความสะดวก ความปลอดภัย และการจัดการที่ง่ายขึ้น

สำหรับธุรกิจที่กำลังมองหาวิธีจัดการสารเคมีอย่างคุ้มค่าและปลอดภัย ถุงพลาสติกรองถัง HDPE 40×60″ ของไทยฮง คือทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม แข็งแรง ใช้งานง่าย และตอบโจทย์ทั้งเรื่องคุณภาพและต้นทุนในเวลาเดียวกัน

 

ค่า WVTR คืออะไร?

ค่า WVTR คือค่าอัตราการซึมผ่านของไอน้ำผ่านวัสดุบรรจุภัณฑ์WVTR หรือ Water Vapor Transmission Rate คือค่าอัตราการซึมผ่านของไอน้ำผ่านวัสดุบรรจุภัณฑ์ ซึ่งใช้บอกความสามารถในการป้องกันความชื้นของวัสดุนั้น ๆ ค่า WVTR ยิ่งต่ำ แสดงว่าวัสดุสามารถกั้นไอน้ำได้ดี เหมาะสำหรับการบรรจุสินค้าที่ไวต่อความชื้น เช่น อาหารแห้ง ขนมกรอบ หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ แต่หากเป็นงานทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการการกักเก็บความชื้นสูง ก็สามารถเลือกใช้วัสดุที่มีค่า WVTR สูงกว่าได้ เพื่อความคุ้มค่าในการผลิต

ค่า WVTR ของ HDPE และ LDPE

  • HDPE (High Density Polyethylene) มีโครงสร้างที่หนาแน่นกว่า ทำให้มีค่า WVTR ต่ำกว่า LDPE โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 0.5 – 2.0 g/m²/day (ขึ้นอยู่กับความหนาของฟิล์ม) จึงกันความชื้นได้ดีกว่า

  • LDPE (Low Density Polyethylene) มีโครงสร้างที่ไม่หนาแน่นเท่า HDPE จึงมีค่า WVTR สูงกว่า โดยทั่วไปประมาณ 1.0 – 4.0 g/m²/day (ขึ้นอยู่กับความหนาเช่นกัน)

กล่าวได้ว่า HDPE เหมาะสำหรับงานที่ต้องการป้องกันความชื้นได้ดีกว่า ส่วน LDPE จะยืดหยุ่นและเหนียวกว่า แต่กันความชื้นได้น้อยกว่า HDPE

การใช้งานถุง HDPE และ LDPE

สำหรับงานผลิตถุงพลาสติกทั่วไป เช่น ถุงหูหิ้ว ถุงใส่สินค้าในร้านค้า หรือถุงบรรจุภัณฑ์สินค้าที่ไม่อ่อนไหวต่อความชื้น ทั้ง HDPE และ LDPE สามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นงานขายปลีก งานห่อหุ้มสินค้า หรือการขนส่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถนอมอาหารระยะยาวหรือการบรรจุแบบสุญญากาศ

อย่างไรก็ตาม หากเป็นงานที่สินค้าไม่สามารถสัมผัสกับความชื้นได้เลย เช่น ผงกรอบ ขนมอบกรอบ หรือยา ควรเลือกใช้วัสดุชนิดอื่น ๆ ที่มีค่า WVTR ต่ำกว่านี้ เช่น ฟิล์มหลายชั้น (Multi-layer Film) หรือฟอยล์อะลูมิเนียม เพื่อการปกป้องที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

การใช้งานในเชิงธุรกิจและความคุ้มค่า

ในมุมมองด้านต้นทุน ถุง HDPE และ LDPE ถือว่ามีความคุ้มค่าในการผลิตสูง เนื่องจากวัตถุดิบหาได้ง่าย กระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน และสามารถปรับความหนาบางได้ตามความต้องการของลูกค้า ผู้ประกอบการจึงนิยมเลือกใช้สำหรับสินค้าทั่วไป เช่น เสื้อผ้า เครื่องใช้ในบ้าน หรือสินค้าอุปโภคที่ไม่กังวลเรื่องความชื้น จุดเด่นของถุงพลาสติกทั้งสองชนิดคือความทนทาน ใช้งานสะดวก และต้นทุนต่อชิ้นต่ำ เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและการค้าปลีก ซึ่งแตกต่างจากวัสดุเฉพาะทางที่ออกแบบมาเพื่อกันความชื้นโดยตรงซึ่งมักมีราคาสูงกว่า

เชือกฟางเกรดรีไซเคิล ผลิตจากวัตถุดิบ PP ชนิด PCR

เม็ดพลาสติก PP ชนิด PCR

ข้อดีของการใช้เชือกฟางเกรดรีไซเคิล

เชือกฟางเกรดรีไซเคิลเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีราคาย่อมเยากว่าเชือกฟางเกรด A แต่ยังคงมีความแข็งแรงในการรับน้ำหนักใกล้เคียงกัน เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายในการบรรจุและขนส่ง อีกทั้งยังเป็นการช่วยใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ลดการสร้างขยะพลาสติกใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เม็ดพลาสติกที่ใช้ผลิตเชือกฟาง สีอาจเพี้ยนไม่สม่ำเสมอ

คุณสมบัติของเชือกฟางเกรดรีไซเคิล

เชือกฟางประเภทนี้ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ทำให้มีลักษณะเฉพาะ เช่น สีอาจไม่สม่ำเสมอหรือมีความเพี้ยนไปจากโทนมาตรฐาน อีกทั้งยังอาจมีกลิ่นของพลาสติกรีไซเคิลติดอยู่บ้าง แต่ในด้านการใช้งานยังคงสามารถมัดสิ่งของได้แน่นหนา แข็งแรง และใช้งานได้ใกล้เคียงกับเชือกฟางเกรด A เพียงแต่ไม่ได้เน้นความสวยงามเท่านั้น

 

 

เชือกฟางเกรดรีไซเคิลสามารถใช้มัดกล่องสินค้า หรือเหมาะกับงานทั่วไป

เชือกฟางเกรดรีไซเคิลเหมาะกับงานแบบไหน

เนื่องจากเชือกฟางเกรดรีไซเคิลมีความแข็งแรงและราคาย่อมเยา จึงเหมาะกับการใช้งานทั่วไปในภาคอุตสาหกรรม เช่น การมัดกล่องสินค้า การมัดของในคลังเก็บ การขนส่งวัตถุดิบ หรืองานที่ไม่ต้องเน้นความสวยงามของบรรจุภัณฑ์ ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ใช้ในงานที่เกี่ยวข้องกับอาหารโดยตรง เนื่องจากอาจมีสารตกค้างจากพลาสติกรีไซเคิล

 

โรงงานไทยฮงกับการผลิตเชือกฟางเกรดรีไซเคิล

โรงงานไทยฮงเป็นผู้ผลิตเชือกฟางที่มีความเชี่ยวชาญและใส่ใจในคุณภาพ โดยมีสายการผลิตเชือกฟางเกรดรีไซเคิลเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการลดต้นทุน แต่ยังคงได้สินค้าที่ใช้งานได้จริง มีมาตรฐาน และเชื่อถือได้ โรงงานสามารถผลิตเชือกฟางในหลายขนาดและความยาว เพื่อรองรับความต้องการใช้งานที่หลากหลายของลูกค้า

เครื่องเป่าเชือกฟางที่แบ่งออกเป็นได้หลายเส้นหลายขนาดคลังเก็บสินค้าเชือกฟางที่พร้อมส่งมีหลายสี หลายขนาด

ค่า OTR (Oxygen Transmission Rate) คืออะไร

ข้อมูลเพื่ออธิบายค่า OTR (Oxygen Transmission Rate) ของถุงพลาสติก LDPE

ค่า OTR หรือ Oxygen Transmission Rate คือค่าที่ใช้บอกอัตราการซึมผ่านของก๊าซออกซิเจนผ่านวัสดุหนึ่ง ๆ ในช่วงเวลาที่กำหนด โดยทั่วไปนิยมใช้ในวงการบรรจุภัณฑ์อาหาร เนื่องจากออกซิเจนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้สินค้าเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น เช่น การเกิดเหม็นหืนในอาหารที่มีไขมัน หรือการเปลี่ยนสีของผลิตภัณฑ์บางชนิด การรู้ค่า OTR ของวัสดุที่ใช้จึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้ผลิตเลือกบรรจุภัณฑ์ได้เหมาะสมกับลักษณะของสินค้าและอายุการเก็บรักษาที่ต้องการ

จริง ๆ แล้ว แม้แต่พลาสติกที่หลายคนมองว่าป้องกันอากาศได้ดีอย่าง LDPE (Low Density Polyethylene) ก็ยังมีการซึมผ่านของออกซิเจนอยู่ เพียงแต่ในระดับที่แตกต่างจากพลาสติกชนิดอื่น ๆ งานวิจัยและข้อมูลอ้างอิงหลายแหล่งระบุว่าค่า OTR ของ LDPE อยู่ในช่วงประมาณ 2,000–8,000 ซีซี/ตารางเมตร/วัน/บรรยากาศ ที่อุณหภูมิห้อง ซึ่งถือว่ามีการซึมผ่านได้ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับพลาสติกชนิดที่มีคุณสมบัติด้านกั้นก๊าซสูง เช่น PET หรือ EVOH

ด้วยเหตุนี้ LDPE จึงไม่เหมาะสำหรับใช้ในบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการการกักเก็บก๊าซอย่างเข้มงวด เช่น อาหารที่ต้องการบรรจุสูญญากาศหรือ Modified Atmosphere Packaging (MAP) อย่างไรก็ตาม LDPE กลับมีข้อดีในด้านความยืดหยุ่น โปร่งใส และต้นทุนต่ำ ทำให้เหมาะกับการนำไปใช้บรรจุสินค้าทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการควบคุมการซึมผ่านของอากาศอย่างเข้มงวด เช่น ขนมขบเคี้ยว ผักผลไม้สด หรือสินค้าที่มีรอบการจำหน่ายสั้น

สรุปได้ว่า ค่า OTR เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ผู้ประกอบการควรรู้เพื่อเลือกวัสดุบรรจุภัณฑ์ได้เหมาะสม สำหรับ LDPE แม้จะมีคุณสมบัติซึมผ่านอากาศได้ แต่ก็ยังคงเป็นถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้ดี หากใช้กับสินค้าที่ไม่จำเป็นต้องเก็บรักษาในสภาวะปลอดอากาศ