พลาสติก PE (Polyethylene) ใช้เวลาย่อยสลายกี่ปี? กระบวนการย่อยสลายและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
พลาสติก PE เป็นพลาสติกที่ผลิตมากที่สุดในโลก (พบในถุงหูหิ้ว ฟิล์มห่อ แพ็กเกจจิ้งต่าง ๆ) จุดเด่นคือโครงสร้างโพลีเมอร์สายยาวที่ทนต่อการสลายด้วยจุลินทรีย์ ทำให้เมื่อถูกทิ้งในสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะที่แสงแดดส่องไม่ถึง เช่น หลุมฝังกลบ การย่อยสลายเป็นไปอย่างเชื่องช้าหลายร้อยปี งานทบทวนและการศึกษาหลายชิ้นระบุว่า “เวลา” ที่พลาสติกถุงซึ่งส่วนใหญ่ทำจาก PE จะสลายตัวได้นั้นกว้างมากตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักหลายร้อยปี ขึ้นกับสภาพแวดล้อม โดยในทะเลและแหล่งธรรมชาติทั่วไปมักประเมินเป็น “หลายร้อยปี” ส่วนในหลุมฝังกลบที่ขาดแสง UV อาจยืดออกไปอีกมาก, ขณะที่แหล่งข้อมูลสาธารณะหลายแห่งสรุปตัวเลขเชิงประมาณ เช่น หลายร้อยปีสำหรับชิ้นพลาสติกทั่วไป และช่วงกว้าง 10–1,000 ปีสำหรับถุงบาง ทั้งนี้เป็นค่าประมาณ ไม่ใช่ “เวลาตายตัว” เพราะขึ้นกับแสง UV อุณหภูมิ ออกซิเจน และความชื้นเป็นสำคัญ.
เมื่อถูกทิ้ง กลไกหลักที่ทำให้ PE เสื่อมสภาพคือ “โฟโต–ออกซิเดชัน” (photo-oxidation): หมู่โครโมฟอร์หรือสิ่งปนเปื้อนในเนื้อพลาสติกดูดซับรังสี UV แล้วกระตุ้นปฏิกิริยาออกซิเดชัน เกิดหมู่คาร์บอนิลบนสายโซ่ เกิดการตัดสาย (chain scission) ทำให้พลาสติกเปราะ แตกหัก และแตกตัวเป็นชิ้นเล็กลงเรื่อย ๆ กระบวนการคล้ายกันเกิดได้จากความร้อนและออกซิเจน (thermal-oxidation) ผลลัพธ์คือจากแผ่นหรือชิ้นใหญ่ ๆ ค่อย ๆ กลายเป็นไมโครพลาสติก (≤5 มม.) และนาโนพลาสติก ซึ่งไม่ได้ “หายไป” แต่แค่แตกละเอียดลง.
สำหรับ “การย่อยสลายทางชีวภาพ” ของ PE งานวิชาการสรุปว่าหลักฐานยังจำกัดมาก เมื่อเทียบกับโพลีเมอร์ที่ย่อยสลายได้โดยจุลินทรีย์ประเภทอื่น ๆ แม้มีรายงานความก้าวหน้าด้านจุลินทรีย์/เอนไซม์ และแมลงบางชนิดช่วยย่อยส่วนหนึ่ง แต่ยังอยู่ในระดับวิจัย และยังไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระดับมหภาคในสภาพแวดล้อมจริง.
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่สำคัญคือ “ไมโครพลาสติก” ไหลเวียนในระบบนิเวศทะเล ตั้งแต่ผิวน้ำถึงตะกอนพื้นทะเล สัตว์น้ำกินเข้าไปสะสมในห่วงโซ่อาหาร สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชุมชนชายฝั่ง และปัจจุบันพบไมโครพลาสติกในตัวอย่างร่างกายมนุษย์หลายชนิด (รวมถึงรก) แม้ผลต่อสุขภาพมนุษย์ยังอยู่ระหว่างศึกษา แต่มีความกังวลเรื่องการอักเสบ ความเป็นพิษระดับเซลล์ และสารเคมีที่อาจหลุดออกจากพลาสติก.
สรุป: พลาสติก PE ไม่ได้ “ย่อยสลายหายไป” อย่างรวดเร็ว แต่ค่อย ๆ เสื่อมสภาพจากแสงและออกซิเจน จนแตกตัวเป็นชิ้นเล็กมากและคงอยู่ได้นานตั้งแต่หลายสิบถึงหลายร้อยปีหรือมากกว่านั้นในสภาพไร้แสง กระบวนการนี้ก่อไมโครพลาสติกที่แพร่กระจายไปในระบบนิเวศและอาจกระทบต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อม การลดใช้ ออกแบบเพื่อรีไซเคิล และการจัดการขยะที่ถูกต้อง จึงยังเป็นแนวทางหลักในการลดผลกระทบจาก PE ในปัจจุบัน.





WVTR หรือ Water Vapor Transmission Rate คือค่าอัตราการซึมผ่านของไอน้ำผ่านวัสดุบรรจุภัณฑ์ ซึ่งใช้บอกความสามารถในการป้องกันความชื้นของวัสดุนั้น ๆ ค่า WVTR ยิ่งต่ำ แสดงว่าวัสดุสามารถกั้นไอน้ำได้ดี เหมาะสำหรับการบรรจุสินค้าที่ไวต่อความชื้น เช่น อาหารแห้ง ขนมกรอบ หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ แต่หากเป็นงานทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการการกักเก็บความชื้นสูง ก็สามารถเลือกใช้วัสดุที่มีค่า WVTR สูงกว่าได้ เพื่อความคุ้มค่าในการผลิต










จริงๆ แล้ว เราสามารถหาค่าความหนาได้ไม่ยาก เพียงใช้เครื่องชั่งน้ำหนักกับตลับเมตรหรือไม้บรรทัดเท่านั้น วิธีการคือ ให้นำถุงพลาสติกมาชั่งน้ำหนักรวมกัน 1 กิโลกรัม จากนั้นนับจำนวนถุงทั้งหมดที่ได้ แล้ววัดขนาดถุงแต่ละใบ (กว้าง × ยาว) เพื่อหาพื้นที่ของถุง เมื่อได้ข้อมูลครบแล้วสามารถคำนวณย้อนกลับได้ดังนี้