WVTR หรือ Water Vapor Transmission Rate คือค่าอัตราการซึมผ่านของไอน้ำผ่านวัสดุบรรจุภัณฑ์ ซึ่งใช้บอกความสามารถในการป้องกันความชื้นของวัสดุนั้น ๆ ค่า WVTR ยิ่งต่ำ แสดงว่าวัสดุสามารถกั้นไอน้ำได้ดี เหมาะสำหรับการบรรจุสินค้าที่ไวต่อความชื้น เช่น อาหารแห้ง ขนมกรอบ หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ แต่หากเป็นงานทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการการกักเก็บความชื้นสูง ก็สามารถเลือกใช้วัสดุที่มีค่า WVTR สูงกว่าได้ เพื่อความคุ้มค่าในการผลิต
ค่า WVTR ของ HDPE และ LDPE
HDPE (High Density Polyethylene) มีโครงสร้างที่หนาแน่นกว่า ทำให้มีค่า WVTR ต่ำกว่า LDPE โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 0.5 – 2.0 g/m²/day (ขึ้นอยู่กับความหนาของฟิล์ม) จึงกันความชื้นได้ดีกว่า
LDPE (Low Density Polyethylene) มีโครงสร้างที่ไม่หนาแน่นเท่า HDPE จึงมีค่า WVTR สูงกว่า โดยทั่วไปประมาณ 1.0 – 4.0 g/m²/day (ขึ้นอยู่กับความหนาเช่นกัน)
กล่าวได้ว่า HDPE เหมาะสำหรับงานที่ต้องการป้องกันความชื้นได้ดีกว่า ส่วน LDPE จะยืดหยุ่นและเหนียวกว่า แต่กันความชื้นได้น้อยกว่า HDPE
การใช้งานถุง HDPE และ LDPE
สำหรับงานผลิตถุงพลาสติกทั่วไป เช่น ถุงหูหิ้ว ถุงใส่สินค้าในร้านค้า หรือถุงบรรจุภัณฑ์สินค้าที่ไม่อ่อนไหวต่อความชื้น ทั้ง HDPE และ LDPE สามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นงานขายปลีก งานห่อหุ้มสินค้า หรือการขนส่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถนอมอาหารระยะยาวหรือการบรรจุแบบสุญญากาศ
อย่างไรก็ตาม หากเป็นงานที่สินค้าไม่สามารถสัมผัสกับความชื้นได้เลย เช่น ผงกรอบ ขนมอบกรอบ หรือยา ควรเลือกใช้วัสดุชนิดอื่น ๆ ที่มีค่า WVTR ต่ำกว่านี้ เช่น ฟิล์มหลายชั้น (Multi-layer Film) หรือฟอยล์อะลูมิเนียม เพื่อการปกป้องที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
การใช้งานในเชิงธุรกิจและความคุ้มค่า
ในมุมมองด้านต้นทุน ถุง HDPE และ LDPE ถือว่ามีความคุ้มค่าในการผลิตสูง เนื่องจากวัตถุดิบหาได้ง่าย กระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน และสามารถปรับความหนาบางได้ตามความต้องการของลูกค้า ผู้ประกอบการจึงนิยมเลือกใช้สำหรับสินค้าทั่วไป เช่น เสื้อผ้า เครื่องใช้ในบ้าน หรือสินค้าอุปโภคที่ไม่กังวลเรื่องความชื้น จุดเด่นของถุงพลาสติกทั้งสองชนิดคือความทนทาน ใช้งานสะดวก และต้นทุนต่อชิ้นต่ำ เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและการค้าปลีก ซึ่งแตกต่างจากวัสดุเฉพาะทางที่ออกแบบมาเพื่อกันความชื้นโดยตรงซึ่งมักมีราคาสูงกว่า